จุรินทร์ออนทัวร์กทม. เปิดตัว 5 ผู้สมัครส.ก. รุ่นใหม่ ชี้ร่างแก้รธน.ปชป.ไร้ปัญหา อย่าตีตนไปก่อนไข้ ระบุต้องจับมือช่วยกันแม้นเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในฐานะประธานมูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ลงพื้นที่ทำกิจกรรม “จุรินทร์ ออนทัวร์” ผ่านการประสานงานจาก นางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ อดีตส.ส.กทม. เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เพื่อมอบถุงยังชีพให้กับให้กับประธานชุมชน และกรรมการชุมชน เพื่อนำไปให้พี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่บริเวณหน้าโรงแรมปริ้นเซส หลานหลวง
พร้อมกับระบุถึงความตั้งใจในการเข้าร่วมทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชน เพื่อขับเคลื่อนการเมืองทั้งระดับชาติ และระดับท้องถิ่น จึงได้มีการเตรียมผู้สมัคร ส.ส. ในนามพรรค ซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และพื้นที่ภาคใต้ โดยเคาะตัวผู้สมัครไปได้กว่า 90 % แล้ว
ทั้งนี้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังระบุอีกด้วยว่า พรรคได้เตรียมผู้สมัคร ส.ก. ไว้เกือบจะครบถ้วนแล้ว พร้อมกับได้เปิดตัวผู้สมัคร ส.ก. ที่เป็นคนรุ่นใหม่ และ เป็นเลือดใหม่ของพรรคใน 5 เขต ประกอบด้วย นายธีรกร ไหวดี เขตพระนคร นายณรงค์ศักดิ์ ฤทธิวรผล เขตสายไหมน.ส.นิภาพรรณ จึงเลิศศิริ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ว่าที่.ร.ต.ธนิตศักดิ์ดารามั่น เขตลาดพร้าว และ น.ส.มารีญา ฤกษ์ดี เขตลาดกระบัง ซึ่งยังเป็นยุวประชาธิปัตย์อีกด้วย
โดยคณะที่ร่วมลงพื้นที่ครั้งนี้ยังประกอบด้วย นายองอาจ คล้ามไพบูลย์รองหัวหน้าพรรค ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัยรองโฆษกพรรค นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขตบางเขนพร้อมทั้งมีเลือดใหม่ ยุวประชาธิปัตย์เข้าร่วมด้วย
ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญว่า แม้ร่างที่เสนอให้แก้ระบบเลือกตั้งโดยใช้บัตร 2 ใบจะผ่านการพิจารณาของสภา แต่ในรัฐธรรมนูญปี 60 ยังมีมาตราที่เกี่ยวกับเลือกตั้งมากกว่า 2 มาตรา จะเป็นอุปสรรคในการแปรญัตติหรือจะต้องยื่นร่างเพิ่มเติมหรือไม่ นายจุรินทร์กล่าวว่า ตนไม่คิดว่าจะเป็นอุปสรรค และได้สอบถามฝ่ายกฎหมายเบื้องต้นแล้วก็คิดว่าไม่ได้มีปัญหาอุปสรรคอะไร เพราะการที่รัฐสภามีมติรับหลักการไปแล้ว ซึ่งเมื่อรับหลักการแล้วว่าจะแก้รัฐธรรมนูญมาตราใดบ้างที่เป็นหลักสำคัญ เมื่อเข้าสู่การพิจารณาวาระ2 ในส่วนของการแก้ไข หากจะต้องไปกระทบกับมาตราใดบ้างก็สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการที่รับมา เพราะฉะนั้นจะระบุกี่มาตรา ก็ไม่เป็นไร มาตราที่เหลือก็จะต้องปรับให้สอดคล้องกับมาตราที่รับหลักการไป
“เพราะฉะนั้นคิดว่าเบื้องต้น เท่าที่คุยกับฝ่ายกฎหมายก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แล้วก็ไม่อยากให้ตีตนไปก่อนไข้ด้วย เพราะว่าเราก็ต้องจับมือกันกับทุกฝ่ายที่จะช่วยเข็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปสู่ความสำเร็จ แม้ว่ามันจะเป็นการเข็นครกก็ตาม แต่ว่าถ้าช่วยกันหลายๆ แรง ทั้งในส่วนของส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล ส.ส.ฝ่ายค้าน สมาชิกวุฒิสภา ผมก็คิดว่า ครกมันก็ขึ้นไปถึงภูเขาได้ ขึ้นไปบนภูเขาได้ เพราะฉะนั้นสำคัญก็คือขอให้ร่วมมือร่วมใจกัน” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว และว่า ถึงสิ่งสำคัญของแก้รัฐธรรมนูญเรื่องระบบการเลือกตั้ง ซึ่งมีสาระสำคัญที่จะเป็นประโยชน์กับประเทศและพี่น้องประชาชน รวมทั้งระบบการเมืองในภาพรวม จากที่มีคำถามที่ว่าชาวบ้านและประชาชนจะได้อะไรนั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ความจริงตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะการเปลี่ยนระบบจากบัตรใบเดียวเป็นบัตร 2 ใบนั้น เท่ากับเป็นการขยายสิทธิเสรีภาพในการเลือกตัวแทนของประชาชนเพื่อไปจัดตั้งรัฐบาลต่อไปในอนาคต ถ้าเราได้รัฐบาลที่ดี รัฐบาลที่เข้าใจปัญหาประชาชนรัฐบาลที่มีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องให้กับพี่น้องประชาชนได้ รวมทั้งปัญหาอื่นๆ ประชาชนก็จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรง
“ระบบนี้ก็เปลี่ยนจากระบบใบเดียว ซึ่งสิทธิเสรีภาพประชาชนถูกจำกัดเพราะเอาการเลือกคน กับเลือกพรรคมามัดรวมกัน ประชาชนจะเลือกคนพรรคนึง เลือกพรรคอีกพรรคนึง ไม่สามารถทำได้ เพราะระบบเลือกตั้งมันบังคับไว้แค่บัตรใบเดียว 1 คะแนน เป็นข้าวต้มมัด แต่พอเป็นระบบบัตร 2 ใบ มันเท่ากับทำให้ประชาชนมีเสรีภาพในการที่จะแยกเลือกคนกับพรรคออกจากกัน คน 1 คะแนน พรรค 1 คะแนน จะเลือกพรรคเดียวกันกับคนก็ได้ เลือกแยกกันก็ได้ ตามที่ประชาชนปรารถนาเพราะนั้นอันนี้มันเป็นการขยายสิทธิเสรีภาพในการเลือกตัวแทน และประชาชน เลือก ส.ส. ไปก็ไปเลือกนายกรัฐมนตรีต่อไป นายกรัฐมนตรีก็จะไปตั้งคณะรัฐมนตรี ทั้งคณะรัฐบาล เพราะฉะนั้นรัฐบาลก็มีหน้าที่มาแก้ปัญหาให้ประชาชน ถ้านับหนึ่งจากการเลือกที่มันบิดเบี้ยว ปลายทางมันก็อาจจะเป็นปัญหาได้ เพราะฉะนั้นการเลือกแก้รัฐธรรมนูญจากบัตรใบเดียว เป็นบัตรสองใบก็คือ เลือกคนมาทำหน้าที่แก้ปัญหาให้ประชาชนโดยตรง แล้วประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน และเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงต่อไปในอนาคต” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
สำหรับการเสนอชื่อเป็นประธานกรรมาธิการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนของพรรคนั้น นายจุรินทร์กล่าวว่า ในส่วนของพรรค นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หรือนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ก็มีศักยภาพสามารถที่จะเป็นประธาน กมธ. ได้ โดยเฉพาะนายบัญญัติ ศักยภาพล้นเหลือ เพียงแต่ทั้งหมดก็คงจะต้องไปหารือกันในที่ประชุม กมธ. ว่าจะมีความเห็น มีมติว่าอย่างไร ตนคิดว่าการหารือนั้นก็คงจะต้องแสวงหาจุดร่วม จุดที่เห็นพ้อง เพราะการทำหน้าที่ในวาระที่ 2 ก็สำคัญ ถ้าหากว่าเห็นพ้องต้องกัน ขับเคลื่อนทุกอย่างเดินหน้าไปด้วยกันได้อย่างดีโอกาสที่จะผ่านวาระ 3 มันก็มี ไม่ใช่ไม่มี อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ สำหรับประชาธิปัตย์ก็จะมุ่งมั่นตั้งใจเดินหน้าสนับสนุนจนวาระสุดท้าย
“วาระที่ 3 นี้เราก็จะพยายามผลักดันให้การแก้รัฐธรรมนูญประสบความสำเร็จ แม้ว่ามันจะเหลือแค่ร่างเดียว คือร่างประชาธิปัตย์ แต่ก็ถือว่านี่คือการนับหนึ่งในการที่จะก้าวต่อไปที่จะทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นในประเด็นอื่นได้ แม้ว่าจะเสียดายกับร่างอีก 5 ร่างของประชาธิปัตย์ที่ตกไป เพราะแต่ละร่างก็เป็นประโยชน์โดยตรงกับประชาชนเหมือนกัน เช่นในเรื่องการเพิ่มสิทธิเสรีภาพ ในเรื่องการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ในเรื่องการประกันตัว ถ้าประชาชนไม่มีเงินหรือมีปัญหา เราก็กำหนดไว้ในร่างแก้รัฐธรรมนูญของประชาธิปัตย์รวมทั้งการขยายสิทธิของเกษตรกรพี่น้องประชาชนให้มีโอกาสได้รับการกระจายที่ดินในการถือครอง รวมทั้งได้รับการจัดสรรปันน้ำเพื่อทำการเกษตร แต่ร่างเหล่านี้มันตกไป รวมทั้งการกระจายอำนาจ และร่างอื่นๆ ก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย
แต่ว่าก็เป็นเรื่องที่ผ่านไประดับหนึ่ง อย่างน้อยร่างที่เหลือ 1 ร่าง เราก็จะพยายามทำหน้าที่เต็มที่ ไม่วอกแวก ไม่เปลี่ยนใจ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
