สกู๊ต ประเดิมเครื่อง ‘แอร์บัส A321neo’ เที่ยวแรกสิงคโปร์มากรุงเทพฯ ก่อนไปเซบู-โฮจิมินห์

นายแคมป์เบล วิลสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินสกู๊ต เปิดเผยว่า สกู๊ต สายการบินราคาประหยัดภายใต้การบริหารของกลุ่มสิงคโปร์แอร์ไลน์ พร้อมเปิดให้บริการด้วยเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุดแบบมีช่องทางเดินเดียว “แอร์บัส A321neo” โดยประเดิมเที่ยวบินแรกจากสิงคโปร์ สู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ ด้วยเที่ยวบินที่ TR610 โดยได้ออกเดินทางจากสนามบินชางงี เวลา 15.24 น. ของวันที่ 28 มิถุนายน 2564 และเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 16.39 น. ในวันเดียวกัน ตามเวลาท้องถิ่น และสำหรับเที่ยวบินขากลับ TR611 ได้ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ในเวลา 17.33 น. ของวันที่ 28 มิถุนายน 2564 และถึงจุดหมายที่สิงคโปร์ เมื่อเวลา 21.29 น. ในวันเดียวกัน ตามเวลาท้องถิ่น และในเดือนสิงหาคม สายการบินสกู๊ตจะเริ่มให้บริการด้วยเครื่องบินแอร์บัส A321neo ในเส้นทางบินสิงคโปร์–เซบู (ฟิลิปปินส์) และสิงคโปร์–โฮจิมินห์ (เวียดนาม) ซึ่งเครื่องบิน A321neo ลำใหม่ของสกู๊ตนี้ สามารถรองรับผู้โดยสาร 236 ที่นั่ง ให้บริการในชั้นประหยัดเท่านั้น กับผังที่นั่งแบบ 3-3

“อุตสาหกรรมการบินในภูมิภาคเอเชีย หลังจากนี้ 2-3 ปีจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยังมีแนวโน้มกลับมาเป็นเช่นเดิมหลังสถานการณ์โควิด ทั้งนี้ สถานการณ์ในแต่ละประเทศแตกต่างกันจึงยังไม่สามารถระบุเวลาที่แน่ชัดได้ แต่สกู๊ตมั่นใจว่าอุตสาหกรรมการบินจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและกลับมาเข้มแข็งได้แน่นอน โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ส่วนการเตรียมความพร้อมเปิดประเทศที่ไทยประกาศ 120 วันนั้นสกู๊ตเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ทั้งเรื่องเครื่องบิน ลูกเรือ และมาตรการความสะอาดและความปลอดภัย ได้ปรับตัวให้สามารถทำงานได้อย่างยืดหยุ่นเพื่อสามารถตอบรับมาตรการขอแต่ละประเทศได้อย่างทันท่วงที ” นายแคมป์เบลกล่าว

ทั้งนี้ เครื่องบินรุ่นใหม่ของสกู๊ต แอร์บัส A321neo มีพิสัยการบินสูงสุดถึง 2,620 ไมล์ทะเล หรือ 4,852 กิโลเมตร ซึ่งมากกว่าเครื่องบินรุ่น A320neo ประมาณ 270 ไมล์ทะเล ทำให้สกู๊ตสามารถให้บริการในเส้นทางบินระยะสั้นถึงระยะกลางได้ ด้วยเวลาบินสูงสุดถึง 6 ชั่วโมง ซึ่งเทียบกับเครื่องบินรุ่นก่อนอย่าง A320 ที่มีรอบการบินอยู่ที่ 4-5 ชั่วโมง ทำให้สามารถรองรับแผนการเพิ่มเที่ยวบินในเส้นทางบินใหม่ได้มากขึ้นในอนาคต การที่เครื่องบินแอร์บัส A321neo สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 236 ที่นั่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรุ่น A320neo ถึง 50 ที่นั่ง และยังประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่า ทำให้สกู๊ตสามารถบริหารความคุ้นทุนและควบคุมต้นทุนต่อหน่วยได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้สายการบินสามารถบริหารจัดการเครื่องบินให้สอดคล้องกับเส้นทางและความต้องการได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอีกด้วย เช่น สกู๊ตสามารถเลือกใช้เครื่องบินแอร์บัส A321neo แทนรุ่น A320 สำหรับเที่ยวบินที่ได้รับความนิยม หรือในช่วงวันที่มีดีมานด์สูง หรือช่วงเทศกาล ขณะเดียวกันก็สามารถนำมาให้บริการแทนเครื่องบินโบอิ้ง 787 ที่มีขนาดใหญ่กว่าของสกู๊ตในช่วงที่ความต้องการในการเดินทางลดลง นอกจากนี้ สกู๊ตยังสามารถเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินได้มากขึ้น โดยการนำเครื่องบินแอร์บัส A321neo มาใช้เสริมในบางเส้นทางของโบอิ้ง 787 จะช่วยตอบรับความต้องการและอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางมากขึ้น

การขยายฝูงบินด้วยเครื่องบินแอร์บัส A321neo ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของสกู๊ตในการยกระดับประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบายให้กับผู้โดยสาร ผ่านฟังก์ชั่นของเครื่องบินลำใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เก้าอี้โดยสารเบาะหนังสีดำพรีเมียม ช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะขนาดใหญ่ เทคโนโลยีแสงไฟแบบ Ambient Light ที่สามารถช่วยลดอาการเจ็ทแลค รวมถึงคุณภาพอากาศในห้องโดยสาร และประสิทธิภาพในการลดเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์ที่ดียิ่งขึ้น และในระยะยาว เครื่องบินแอร์บัส A321neo จะช่วยให้สกู๊ตสามารถเติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้มากขึ้น ด้วยปลายปีก Sharklets และเครื่องยนต์อากาศยานแพรทท์ แอนด์ วิทนีย์ รุ่น PW1100G-JM ที่ช่วยประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง ซึ่งเมื่อเทียบกับบันทึกก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้ว ปริมาณการปล่อยมลพิษทางเสียงและก๊าซไนโตรเจนออกไซด์นั้นลดลงกว่า 50%[1] รวมถึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงถึง 5,000[2] ตันต่อปี ต่อเครื่องบิน

Advertisement

“เครื่องบินรุ่นใหม่ แอร์บัส A321neo ของสกู๊ต สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้นและทำการบินได้ในระยะทางที่ไกลขึ้น เปิดโอกาสการขยายเครือข่ายการบินใหม่ๆ พร้อมยกระดับประสบการณ์การเดินทางให้กับผู้โดยสารชาวไทย ทั้งนี้ การดูแลฝูงบินให้ทันสมัยด้วยการลงทุนซื้อเครื่องบินรุ่นใหม่ที่ประหยัดพลังงาน เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของสกู๊ตในการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหลือศูนย์ ภายในปี 2050 เมื่อนับรวมกับความสำเร็จในฐานะสายการบินต้นทุนต่ำรายแรกและรายเดียวของโลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยต่อสุขภาพในระดับ Daimond Standard จาก APEX Health Safety โดย สถาบันตรวจสอบสายการบินระดับโลก SimpliFlying ทั้งหมดนี้ ทำให้สกู๊ตมั่นใจว่าเราจะสามารถฟื้นฟูธุรกิจและกลับมาอยู่แนวหน้าของธุรกิจสายการบินราคาประหยัดในภูมิภาค เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเดินทางหลังจากสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ” นายแคมป์เบลกล่าว

นายอานันท์ สแตนลีย์ ประธานบริษัทแอร์บัสประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “การส่งมอบเครื่องบิน A321neo ให้กับสกู๊ต ถือเป็นการตอกย้ำความสำเร็จร่วมกันระหว่างแอร์บัสและกลุ่มสิงคโปร์แอร์ไลน์ (SIA Group) สกู๊ตจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นและเปิดเส้นทางใหม่ทั่วภูมิภาคเอเชียได้ด้วยเครื่องบิน A321neo ซึ่งเป็นเครื่องบินที่ใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดการสิ้นเปลืองพลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เรามั่นใจว่าเครื่องบิน A321neo จะช่วยให้ธุรกิจการบินของสกู๊ตสามารถฟื้นตัวได้ดี และหวังว่าจะได้พบทุกท่านบนเครื่องบินลำใหม่เร็วๆ นี้ จนถึงปัจจุบัน สกู๊ตได้รับการส่งมอบเครื่องบิน A321neo แล้ว จำนวน 3 ลำ (ผ่านการเช่าแบบลีสซิ่งจาก BOC Aviation) จากจำนวนทั้งหมด 16 ลำ ซึ่งประกอบด้วย 6 ลำ ที่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งซื้อเดิมจาก A320neo มาเป็นเครื่องบินรุ่นใหม่ และเป็นเครื่องบินเช่าอีก 10 ลำ นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2020/2021 ที่ผ่านมา สกู๊ตได้ปลดประจำการเครื่องบิน A320ceo จำนวน 5 ลำ ตามแผนการปรับปรุงฝูงบิน ฝูงบินที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันของสกู๊ต ประกอบด้วย เครื่องบินแบบมีช่องทางเดินเดียว จำนวน 29 ลำ ได้แก่ A320ceo 21 ลำ A320neo 5 ลำ และ A321neo 3 ลำ นอกจากนี้ ยังมี A320neo 28 ลำ และ A321neo อีก 13 ลำ ที่กำลังรอการส่งมอบ ส่วนเครื่องบินแบบลำตัวกว้างของสกู๊ตมีจำนวน 20 ลำ เป็นเครื่องบินรุ่นโบอิ้ง 787 ทั้งหมด และกำลังรอการส่งมอบเพิ่มอีก 7 ลำ โดยอายุเฉลี่ยของฝูงบินของสกู๊ตในขณะนี้อยู่ที่ 5 ปี 10 เดือน

นายอานันท์กล่าวต่อว่า การให้บริการของสกู๊ตในประเทศไทย ปัจจุบัน สกู๊ตให้บริการในเส้นทาง สิงคโปร์-กรุงเทพฯ (สนามบินสุวรรณภูมิ) จำนวน 11 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สกู๊ตกำลังเตรียมการเพื่อที่จะกลับมาให้บริการอีกครั้งด้วยความปลอดภัยและมั่นใจ โดยวางแผนที่จะกลับมาให้บริการในเส้นทาง สิงคโปร์-เชียงใหม่ สิงคโปร์-หาดใหญ่ สิงคโปร์-กระบี่ และ สิงคโปร์-กรุงเทพฯ-โตเกียว เมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image