เหตุปัจจัยใดสังคมจึงทอดมองไปยัง โทนี วู้ดซั่ม เหตุปัจจัยใดสังคม จึงทอดมองไปยัง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
คล้ายกับจะมองข้าม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไป
ทั้งๆที่ โทนี วู้ดซั่ม เพียงแค่โอกาสในการเดินทางกลับก็ลำบากยากเข็ญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากบาดแผลทางการเมืองทั้งก่อนและหลังรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549
ทั้งๆที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็เพิ่งถูกลงโทษทางการเมือง พร้อมๆกันไปกับคำวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี
นี่คือข้อจำกัดในทางการเมือง ไม่ว่าจะมองไปยังเงาร่างของ โทนี วู้ดซั่ม ไม่ว่าจะมองไปยังเงาร่างของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อย่างเอาใจช่วยเป็นพิเศษเพียงใดก็ตาม
กระนั้น 2 คนนี้ก็ยังเป็น ”ความหวัง” เสมอในจุดอันเป็น ”ผู้นำ”
เพียงแต่จะเข้าดำรงสถานะแห่งความเป็น ”ผู้นำ” ในสถานการณ์ อย่างใดทางการเมืองเท่านั้นเอง
และสังคมไทยในระยะ ”สั้น” จะยินยอมอนุญาตหรือไม่
ต้องยอมรับว่าอุณหภูมิแห่งความหงุดหงิด ไม่พอใจต่อแนวทางการบริหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ทะยานขึ้นสู่กระแสสูงเป็น อย่างยิ่ง
ไม่เพียงแต่ความล้มเหลวจาก ”รัฐประหาร” เมื่อ 7 ปีก่อน หากแต่เด่นชัดเมื่อเผชิญกับ ”โควิด” ในห้วง 1 ปีกว่า
ความล้มเหลวนี้สามารถวัดได้จากจำนวนคนเสียติดโควิดและเสียชีวิตที่ทวีปริมาณมากขึ้นเป็นลำดับจนแทบจะคิดเป็นสัดส่วนยิ่ง กว่าสหรัฐและอินเดียเคยประสบ
หากที่สำคัญเป็นอย่างมากยังอยู่ที่ว่าภาพลักษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แทบไม่เหลือเนื่องจากถูก ”ด้อยค่า” เป็นลำดับ
รัฐไทยกลายเป็น ”รัฐล้มเหลว” ผู้นำกลายเป็น ”ตัวตลก”
สถานะที่ล้มเหลวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เช่นนี้เองทำให้รูปลักษณ์ของ โทนี วู้ดซั่ม และ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ค่อยๆจุดประกายแห่งความหวังในซากปรักหักพัง
ปมเงื่อนอยู่ที่ว่า 2 คนนี้จะมีความสามารถจริงหรือไม่
ปมเงื่อนอยู่ที่ว่า 2 คนนี้จะสามารถ ”ประมวล” ปัญหามาจัดทำเป็น ”บทสรุป” และเสนอ ”หนทางออก” ได้อย่างเป็นระบบเพียงใด
อันดับสำคัญที่สุดย่อมเป็น โทนี่ วู้ดซั่ม อย่างแน่นอน