SNNP เสนอขายไอพีโอ 7 ก.ค.นี้ พร้อมโชว์ศักยภาพสู่แผนผู้นำเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวแห่งอาเซียน

นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ตัวแทนบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหลักทรัพย์ของบริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง หรือ SNNP ว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ของบริษัทฯเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยกำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นที่ 8.70 – 9.20 บาทต่อหุ้น และเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อในวันที่ 7 – 9 กรกฎาคม ที่ราคา 9.20 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น และนักลงทุนสถาบันจะจองซื้อในวันที่ 12-14 กรกฎาคม ที่ราคาเสนอขายสุดท้าย หลังทำการสำรวจความต้องการจองซื้อของนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) เพื่อกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) คาดว่าจะประกาศให้ทราบได้ภายในวันที่ 12 กรกฎาคม กรณีนักลงทุนรายย่อยที่จ่ายเงินจองซื้อในราคาสูงสุดไปแล้ว จะได้รับเงินส่วนต่างคืนหากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่าราคาจองซื้อ

นางสาววีณา กล่าวว่า บล.ไทยพาณิชย์ ได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์อีก 5 ราย เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ประกอบด้วย บล. เคทีบีเอสที, บล. กรุงศรี , บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย), บล. คันทรี่กรุ๊ป และบล. หยวนต้า (ประเทศไทย) ส่วนนักลงทุนสถาบันจะจองซื้อในวันที่ 12 – 14 กรกฎาคม ที่ราคาเสนอขายสุดท้าย

ปัจจุบันบริษัทฯมีทุนจดทะเบียน 480 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 960 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 360 ล้านบาท และจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 240 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ ซึ่งเงินที่ได้จากการระดมทุนจะส่วนหนึ่งจะนำไปลงทุนในบริษัทย่อย เพื่อดำเนินธุรกิจในประเทศเวียดนาม อีกส่วนหนึ่ง จะนำไปชำระเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงิน และส่วนสุดท้าย ก็จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ

Advertisement

นายวิวรรธน์ ไกรพิสิทธิ์กุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การระดมทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ต่อยอดแบรนด์สินค้าที่มีอยู่ในพอร์ตโฟลิโอ ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ประกอบด้วย เจเล่ คูลลี่คูล ไดยาโมโตะ ฮีโร่บอยส์ และอควาวิตซ์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว ประกอบด้วย เบนโตะ ทาโกะ โลตัส ช๊อคกี้ และเบเกอรี่เฮาส์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในแต่ลประเทศ และสร้างความได้เปรียบจากการมีฐานการผลิตและระบบกระจายสินค้าที่ครอบคลุมในภูมิภาค CLMV ช่วยผลักดันการขยายธุรกิจของ SNNP ให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวแห่งอาเซียน

นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ กล่าวว่า กลยุทธ์ทางการตลาด นอกจากต่อยอดแบรนด์แล้ว ยังมุ่งสร้างความแข็งแกร่งของช่องทางการจัดจำหน่าย โดยดำเนินกลยุทธ์ในการกระจายสินค้าตามช่องทางหลัก ได้แก่ ค้าส่ง ค้าปลีก ช่องทางโมเดิร์นเทรด ออนไลน์ และเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) อย่างต่อเนื่อง รวมถึงบริหารและพัฒนาสินค้าให้เหมาะสมกับแต่ละช่องทางการจัดจำหน่าย พร้อมทั้งส่งเสริมกลยุทธ์การขายและบริหารพื้นที่จัดจำหน่ายในแต่ละช่องทาง รวมถึงได้จัดตั้งบริษัทจัดจำหน่ายสินค้า ได้แก่ บริษัท สิริ โปร จำกัด ซึ่งมีทีมผู้บริหารและทีมขายที่มีประสบการณ์และความสามารถในการกระจายสินค้าให้กับบริษัทฯ

Advertisement

ปัจจุบันมีศูนย์กระจายสินค้า 11 แห่ง ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย ซึ่งสามารถกระจายสินค้าถึงกลุ่มร้านค้าทั้งค้าปลีกกว่า 70,000 ร้านค้า และร้านค้าส่งกว่า 3,600 ร้านค้า ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันให้กับบริษัทฯ

นายฐากร ชัยสถาพร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจต่างประเทศ กล่าวว่า ธุรกิจของบริษัทฯ มีศักยภาพที่จะเติบโตในภูมิภาค CLMV ได้อีกมาก เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่มีการเติบโตของตลาดสูง โดยมีรายได้ต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้น และการขยายตัวของกลุ่มประชากรที่เป็นชนชั้นกลางวัยหนุ่มสาว ประกอบกับมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบ ปัจจัยเหล่านี้ผลักดันให้การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มแบบพร้อมรับประทานขยายตัวมากขึ้น โดยกลยุทธ์ทางการตลาด บริษัทฯ จะต่อยอดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวที่เป็นผู้นำตลาดในประเทศไทย โดยบริษัทฯ ได้จัดตั้งบริษัทย่อยในกัมพูชา ได้แก่ S.C Food Products Co., Ltd. STVV Development Co., Ltd. และ S.C Food Trading Co., Ltd. ปัจจุบันโรงงานก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อย

ขณะที่ประเทศเวียดนาม บริษัทฯ มีแผนเข้าลงทุนผ่าน S.T. Food Marketing Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เพื่อผลิตขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มเยลลี่สำเร็จรูปและจัดจำหน่ายในประเทศเวียดนาม โดยได้เริ่มก่อสร้างโรงงานแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จและผลิตสินค้าในปี 2565 ในเฟสแรก ซึ่งเฟสสองจะแล้วเสร็จในปี 2566 ทำให้บริษัทฯ มีฐานการผลิตทั้งในประเทศไทย กัมพูชา และเวียดนาม จำนวน 6 แห่ง ครอบคลุมประชากรกลุ่มประเทศ CLMV+T รองรับกับความต้องการของตลาดที่มีประชากรกว่า 250 ล้านคน และยังเป็นฐานการผลิตส่งออกสินค้าไปตลาดอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ ส่งออกไปยัง 5 ทวีป รวมกว่า 35 ประเทศทั่วโลก

นายฐากร กล่าวว่า นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อจัดจำหน่ายสินค้าในประเทศจีนและกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป ลงทุนในการสร้างการรับรู้ในผลิตภัณฑ์ของกลุ่มผู้บริโภค และขยายประสิทธิภาพในช่องทางการจัดจำหน่าย เสาะหาแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพดี และเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมการผลิตให้แก่กลุ่มบริษัทฯ

นายชยุตม์ หลีหเจริญกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานบัญชีและการเงิน กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการลงทุนมากกว่า 1,500 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต สร้างฐานการผลิตและกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งและมั่นคงทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนลงทุนระบบไอทีและนำ Data เข้ามาช่วยวิเคราะห์ตลาดได้อย่างแม่นยำ และด้วยศักยภาพทางธุรกิจที่บริษัทฯ วางไว้อย่างแข็งแกร่ง จะผลักดันให้ผลดำเนินงาน SNNP เติบโตอย่างยั่งยืน โดยวางเป้าหมายการเติบโตประมาณ 2 เท่าในช่วง 5 ปีข้างหน้า (2564-2569)

สำหรับการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 (มกราคม-มีนาคม) บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างสูง แม้เผชิญปัจจัยลบจาก Covid-19 โดยมีรายได้รวม 1,239 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วยรายได้จากการขาย 1,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 172 ล้านบาท เป็นการทำกำไรเติบโตติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 นับจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 สะท้อนถึงความแข็งแกร่งในการดำเนินงาน ซึ่งมีปัจจัยสำคัญมาจากการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตและการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่ปี 2563 โดยต้นทุนขายต่อรายได้อยู่ที่ 73.7% ลดลง 0.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริการต่อรายได้อยู่ที่ 20% หรือลดลง 4.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ กำไรสุทธิดังกล่าวมีรายการพิเศษจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของเงินลงทุนในบริษัทย่อยรวมอยู่ด้วยทั้งสิ้น 128 ล้านบาท

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image