ซมโปะ ปรับแผนบุกตลาดรายย่อย เน้นประกันสุขภาพรับเทรนด์

ผศ.ชญณา ศิริภิรมย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซมโปะ ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SOMPO เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจประกันภัยในประเทศไทยช่วงครึ่งหลังของปี 2564 น่าจะยังทรงตัว ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ยืดเยื้อ ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว และกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะตลาดรายย่อย ขณะที่ตลาดรายใหญ่หรือลูกค้าองค์กร ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของซมโปะเริ่มมีทิศทางดีขึ้นตามการส่งออกตั้งแต่ช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากเศรษฐกิจในหลายประเทศเริ่มฟื้นตัว ทำให้เบี้ยประกันภัยของซมโปะยังเติบโตได้ดี คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยจะเติบโตกว่าตลาดประกันภัยในปีนี้ หลังจากที่ในครึ่งแรกของปี 2564 มีอัตราการเติบโต 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563

“สถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ผู้บริโภคเริ่มหันมาให้ความสนใจเรื่องความปลอดภัยและสุขภาพมากยิ่งขึ้น เชื่อว่าทุกบริษัทต่างเล็งเห็นความสำคัญในเรื่องดังกล่าว โดยจะเห็นได้ว่าตลาดประกันภัยส่วนใหญ่จะมุ่งไปในแนวทางที่คล้าย ๆ กัน คือ Personal safety and health แต่อย่างไรก็ดีเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ส่งผลให้กำลังซื้อลดลงแม้จะเห็นแนวทางธุรกิจที่เห็นชัดแต่กำลังซื้อในครึ่งปีหลังก็คงจะไม่แรงนัก ดังนั้นครึ่งปีหลังนี้เรียกว่าเป็นช่วงของการประคับประคองการเติบโตอย่างระมัดระวังให้ข้ามผ่านวิกฤตินี้ไปได้ จึงไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้สูงนัก แต่เป็นการเกาะไปกับการเติบโตของตลาดประกันภัย ซึ่งซมโปะเป็นบริษัทขนาดกลางที่ปรับเปลี่ยนได้รวดเร็วจึงคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตกว่าตลาด” ผศ.ชญณา กล่าว

ผศ.ชญณา กล่าวว่า การทำตลาดรายย่อยของซมโปะ ปัจจุบันมีธนาคารซีไอเอ็มบีเป็นพันธมิตร เน้นลูกค้าเงินกู้บ้าน และเงินกู้รถ แต่สถานการณ์ปัจจุบันธนาคารมีความเข้มงวดในการปล่อยกู้ ทำให้คนกู้เงินน้อยลง อาจต้องเปลี่ยนเป็นกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า Loan customer ซึ่งต้องเพิ่มช่องทางเข้าหาลูกค้ากลุ่มนี้ให้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังเล็งเห็นว่าคนบางกลุ่มยังมีกำลังจ่ายเพื่อรองรับความเสี่ยง เช่น ประกันสุขภาพ เริ่มเห็นว่าคนไทยมีความตระหนักในเรื่องสุขภาพมากขึ้น และให้ความสนใจซื้อประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถเพิ่มสัดส่วนรายย่อยให้ได้ แม้เบี้ยประกันภัยที่เพิ่มขึ้นจะไม่รวดเร็วเท่าในส่วนของลูกค้ารายใหญ่ หรือลูกค้าองค์กรที่เพิ่มเร็วกว่า

สำหรับตลาดลูกค้ารายใหญ่มีแนวโน้มเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เห็นได้จากขณะนี้เศรษฐกิจในหลายประเทศเริ่มฟื้นตัว การส่งออกดีขึ้น ความต้องการประกันก็เติบโตตามไปด้วย และปัจจุบันยังมีเทรนด์สำคัญที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนคือ หลายภาคส่วนโดยเฉพาะภาคธุรกิจเริ่มตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อผู้อื่นมากขึ้น โดยในประเทศที่พัฒนาแล้วจะเห็นเทรนด์นี้ชัดเจน เพราะประชาชนมีความเข้าใจและเรียกร้องสิทธิกันมากขึ้น ทำให้การประกันภัยที่ครอบคลุมต่อบุคคลอื่นเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเป็นที่ต้องการมากขึ้น ซึ่งในประเทศไทยก็เริ่มเห็นเทรนด์นี้มากขึ้น และเป็นเรื่องดีที่คนรู้สึกว่าความรับผิดชอบต่อบุคคลอื่น คือ ความเสี่ยง

Advertisement

อีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนธุรกิจประกัน คือคนไทยตระหนักและมีความรู้เกี่ยวความเสี่ยงมากขึ้น สะท้อนจากการเติบโตของประกันสุขภาพ ที่เห็นว่าค่ารักษาพยาบาลมีแนวโน้มแพงขึ้นตามเทคโนโลยีที่ใช้รักษา ทำให้ลูกค้าต้องหันมาทำประกันสุขภาพด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งบทบาทของบริษัทประกันจะต้องทำให้คนตระหนัก ไม่ใช่หวาดกลัว โดยทำให้รู้ว่าทุกอย่างต้องมีแผนสองรองรับ การบริหารความเสี่ยงเป็นเรื่องสำคัญ หากคนไทยตระหนักถึงความเสี่ยงมากขึ้น จะทำให้ธุรกิจประกันเติบโตได้มาก เพราะปัจจุบันคนไทยถือครองกรมธรรม์จำนวนไม่มาก จึงมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก โดยเฉพาะตลาดรายย่อย และเอสเอ็มอีที่ยังไม่ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง แต่วิกฤติครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสร้างการเติบโตให้กับเอสเอ็มอีด้วย หากจะก้าวไปอย่างยั่งยืนต้องมีรู้จักบริหารความเสี่ยง

“ความท้าทายของธุรกิจประกันเป็นเรื่องพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนเร็ว และเจเนอเรชั่นใหม่กำลังเติบโต ในยุคดิจิทัลที่ผลักดันให้องค์กรต้องมาอยู่ในพื้นที่ออนไลน์ คีย์สำคัญคือ Data ที่จะทำให้การวิเคราะห์มีความแม่นยำ เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการได้ตรงความต้องการของลูกค้า ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคเข้าใจเรื่องประกันมากขึ้น แค่รอเวลาให้กำลังซื้อกลับมา โดยซมโปะจะใช้ประโยชน์จาก Data มาขับเคลื่อนธุรกิจ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ครอบคลุมและตรงกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งส่งมอบประสบการณ์การซื้อประกันทางออนไลน์ที่ดียิ่งขึ้น”

 

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image