บทนำ : หนทางข้างหน้า

บทนำ : หนทางข้างหน้า

การชุมนุมของกลุ่มเยาวชน ประชาชนในชื่อกลุ่มต่างๆ เมื่อวันที่ 7 ส.ค. และ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา มีการใช้แก๊สน้ำ กระสุนยาง และรถฉีดน้ำผสมแก๊สน้ำตา ทำให้เหตุการณ์ทั้งสองวันดังกล่าว ปิดฉากด้วยความรุนแรง ในโลกยุคที่เทคโนโลยีด้านการสื่อสารก้าวหน้าอย่างมาก ภาพเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ แพร่กระจายไปสู่ประชาชนในประเทศทุกหนแห่ง และโลกภายนอก ก่อให้เกิดภาพจำเกี่ยวกับรัฐบาล ทำให้เกิดเสียงสะท้อนกลับมากมายหลายแง่หลายมุม ซึ่งล้วนแต่ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาล และต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

นักวิชาการรัฐศาสตร์ได้ออกมาเตือนว่า การเมืองไทยขณะนี้อยู่ในวิกฤต และตั้งข้อสังเกตว่า วิกฤตที่ขับเคลื่อนด้วยความเกลียดชัง เคียดแค้นนั้น สุดท้ายแล้ว จะลงเอยด้วยความรุนแรง รัฐไทยต้องประเมินว่าจะรักษาอำนาจของตนเอง โดยปล่อยให้เกิดการปราบปรามคนเห็นต่างอย่างไม่มีกรอบการปฏิบัติที่ยึดโยงกับหลักสากล จะเป็นผลดีกับรัฐบาล และบรรลุความประสงค์ในการเอาชนะผู้เห็นต่างๆ ได้จริงหรือไม่ หรือวิธีการนี้ จะนำพาสังคมประเทศไทยไปในทิศทางอื่น

น่าสังเกตว่าสังคมประเทศไทยจากรัฐประหาร ปี 2557 มาจนปัจจุบัน รัฐไทยไม่เคยเปิดช่องทางให้มีการพูดคุย ระหว่างฝ่ายเห็นต่างกับรัฐบาลอย่างจริงจัง เพื่อหาทางออกของวิกฤตการเมือง มีแต่ใช้อำนาจทางกฎหมาย ดำเนินคดี ควบคุมตัว และใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าสลายหรือปราบปราม โดยอ้างอำนาจตามกฎหมายต่างๆ ขณะนี้เป็นห้วงเวลาที่เปิดกว้างมากกว่าเดิม น่าจะถึงเวลาที่รัฐบาลจะต้องพิจารณาหาทางออกของการเมืองรอบนี้อย่างจริงใจ และมุ่งหวังในผลที่ดี และเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง

Advertisement

แทนที่จะต้องเสียงบประมาณไปสรรหาอุปกรณ์แปลกๆ ใหม่ๆ ในการควบคุมฝูงชน และเสียกำลังเจ้าหน้าที่รัฐ ไปกับการติดตามการควบคุมผู้เห็นต่าง รัฐไทยต้องเอางบ เอาเวลา มาจัดทำพื้นที่เจรจา และอาจจะต้องยอมรับว่าถึงเวลาต้องฟังเสียงประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ และถึงเวลาที่ประเทศจะต้องพลิกตัวเองไปตามสถานการณ์ของโลก ยอมแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นสากล ยอมเสียสละสถานะและอำนาจ ที่ไม่สอดคล้องกับโลกยุคใหม่ หากไม่สามารถดำเนินการได้ ก็เท่ากับยอมรับว่าเราจะมุ่งหน้าไปในทิศทางที่รู้ๆ กันว่าไม่เป็นผลดีกับใคร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image