ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนสั่งจำหน่ายคดีบีทีเอสฟ้อง คกก.คัดเลือกโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม -รฟม. เหตุมติเดิมที่เป็นเหตุฟ้องคดีถูกยกเลิกเเล้ว ไม่มีการกระทำที่จะพิพากษาต่อไป
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ที่ศาลปกครอง ถนนเเจ้งวัฒนะ ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุดในคดีหมายเลขดำที่ 2280/2563 ระหว่าง บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส ยื่นฟ้อง คณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36แห่ง พรบ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) เเละการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-2
เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดจากคำสั่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเนื่องมาจากคำสั่งทางปกครอง (อุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีบางข้อหาเพราะเหตุแห่งการฟ้องคดีหมดสิ้นไป)
คดีนี้ บีทีเอสฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายกรณีผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีมติแก้ไขเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาผู้ชนะการประเมินของเอกสารคัดเลือกเอกชนและวิธีการประเมินข้อเสนอด้านเทคนิคและข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทนในการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนการออกแบบและก่อสร้างงานโยธาส่วนตะวันตกการจัดหาระบบรถไฟฟ้าการให้บริการการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุงรักษาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้ซื้อเอกสารข้อเสนอการร่วมลงทุนได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย
ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีในข้อหาฟ้องขอให้เพิกถอนหลักเกณฑ์การร่วมลงทุนของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1ที่แก้ไขเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงเอกสารการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ที่ให้ใช้การประเมินซองที่ 2ข้อเสนอทางเทคนิคและซองที่ 3ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทนรวมกันแล้วแบ่งสัดส่วนเป็นคะแนนซองที่ 2จำนวน 30คะแนนและคะแนนซองที่ 3จำนวน 70 คะแนนในการดำเนินการคัดเลือกเอกชนเพื่อร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) และให้คำสั่งศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 19 ต.ค.63 ที่ให้ทุเลาการบังคับตามหลักเกณฑ์การร่วมลงทุนที่แก้ไขเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงเอกสารการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติมครั้งที่ 1ไว้เป็นการชั่วคราวสิ้นผลบังคับลงไปด้วย
เนื่องจากศาลฯ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้ระหว่างพิจารณาคดีของศาลปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกการประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชนโครงการรถไฟสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์มีนบุรี (สุวินทวงศ์) และการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวนฯ ดังกล่าวเหตุแห่งความเดือดร้อนหรือความเสียหายจากคำสั่งที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้หมดสิ้นไปแล้ว ผู้ฟ้องคดีไม่เป็นผู้เดือดร้อนเสียหายทำให้การพิจารณาคดีไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไปทั้งไม่มีวัตถุแห่งคดีที่จะให้ศาลกำหนดคำบังคับให้เพิกถอนและผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะคืนข้อเสนอและหลักประกันซองให้เอกชนที่ยื่นข้อเสนอไว้ทั้งสองรายโดยเอกสารข้อเสนอทั้งหมดยังไม่มีการพิจารณาเปิดซองข้อเสนอพร้อมคืนเงินค่าธรรมเนียมการประเมินข้อเสนอเอกชนผู้ยื่นข้อเสนอทั้งสองรายที่ได้ชำระไว้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อซองเอกสารคัดเลือกเอกชนทั้งสิบรายสามารถแสดงความจำนงขอคืนเงินค่าซื้อซองเอกสารการคัดเลือกหรือเปิดให้ผู้ซื้อซองเอกสารขอรับซองการคัดเลือกครั้งใหม่ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2จะออกประกาศเชิญชวนใหม่ไม่ต้องเสียเงินค่าซื้อซองเอกสารใหม่อีกกรณีไม่มีเหตุที่ศาลจะต้องพิจารณาเพื่อมีคำพิพากษาในประเด็นที่เป็นเนื้อหาคดีนี้อีกต่อไป และต่อมาศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งที่ 39/2564 ว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้ยกเลิกประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชนโครงการรถไฟสายสีส้มฯ และการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวนฯ ดังกล่าวแล้วเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้รวมถึงเหตุแห่งการพิจารณาเกี่ยวกับการทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองจึงไม่มีอยู่ต่อไป
ประกอบกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองขอถอนคำร้องอุทธรณ์คำสั่งและคำขอระงับการบังคับตามคำสั่งทางปกครองก่อนศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้อนุญาตให้ถอนคำร้องอุทธรณ์คำสั่งและคำขอให้ระงับคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองของศาลและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ในส่วนข้อหาที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนหลักเกณฑ์การร่วมลงทุนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่แก้ไขเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงเอกสารการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติมฯ ในการดำเนินการคัดเลือกเอกชนเพื่อร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) จึงหมดสิ้นไป
เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีตามคำขอที่ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งพิพาทหมดสิ้นไปแล้วจึงไม่มีเหตุที่จะให้ศาลต้องมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพื่อออกคำบังคับมาตรา 72วรรคหนึ่ง (1) แห่งพรบ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. 2542ต่อไปอีก ส่วนความเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายจากการที่ผู้ฟ้องคดีได้ไปจ้างที่ปรึกษาทางเทคนิคในการยื่นข้อเสนอโครงการพิพาทและที่ปรึกษาทางกฎหมายนั้นเป็นคนละส่วนกับเงินค่าซื้อซองเอกสารการคัดเลือกและหลักประกันซองที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะคืนให้จากการยกเลิกการประกาศเชิญชวนฯ และการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวนฯ และเป็นประเด็นในเนื้อหาแห่งคดีที่ศาลจะได้พิจารณาพิพากษาต่อไปซึ่งผู้ฟ้องคดีได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นต่อศาลปกครองสูงสุด
โดยวันนี้ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์พยานหลักฐานเเล้ว มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ให้จำหน่ายคดีในข้อหาที่ฟ้องขอให้เพิกถอนหลักเกณฑ์การร่วมลงทุนของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ที่แก้ไขเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงเอกสารการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติม ครั้งที่ 1 ที่ให้ใช้การประเมินซองที่ 2 ข้อเสนอทางเทคนิค และซองที่ 3 ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทน รวมกันแล้วแบ่งสัดส่วนเป็นคะแนนซองที่ 2 จำนวน 30 คะแนน และคะแนนซองที่ 3 จำนวน 70 คะแนน ในการดำเนินการคัดเลือกเอกชนเพื่อร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) และให้คำสั่งศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2563 ที่ให้ทุเลาการบังคับตามหลักเกณฑ์การร่วมลงทุนที่แก้ไขเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงเอกสารการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ดังกล่าว ไว้เป็นการชั่วคราว สิ้นผลบังคับลงไปด้วย
เนื่องจากในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลปกครองชั้นต้น คณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36ฯ ได้มีมติในการประชุม ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 เห็นชอบให้ยกเลิกประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ และยกเลิกการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนตามประกาศเชิญชวนดังกล่าวแล้ว ซึ่งมีผลเท่ากับยกเลิกโครงการคัดเลือกเอกชนเพื่อร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ ในครั้งนี้ไปแล้ว
มติของคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36ฯ ที่เห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การประเมินข้อเสนอซองที่ 2 ข้อเสนอทางเทคนิค และซองที่ 3 ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทน รวมทั้งหลักเกณฑ์การประเมินดังกล่าวตามที่ระบุไว้ในเอกสารข้อเสนอการร่วมลงทุน เอกสารเพิ่มเติม ครั้งที่ 1 อันเป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีในข้อหาที่หนึ่งจึงไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้วเช่นกัน ดังนั้น เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีในข้อหาที่หนึ่งไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว จึงไม่มีการกระทำที่ศาลปกครองจะพิจารณาพิพากษาต่อไป อันเป็นเหตุที่ศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีในข้อหานี้ได้