ศาลอุทธรณ์พิพากษา สั่ง ย้อนสำนวนคดีปลอมแปลงเอกสารโอนหุ้น เสี่ยชูวงษ์ ให้สืบพยานโจทก์-จำเลย2,4ใหม่

ศาลอุทธรณ์พิพากษา สั่ง ย้อนสำนวนคดีปลอมแปลงเอกสารโอนหุ้นให้ศาลชั้นต้น สืบพยานโจทก์ใหม่ และในส่วนโบรกเกอร์กับเเม่เพื่อทำคำพิพากษาใหม่

เมื่อวันที่ 23 กันยายน ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง ซ.63 ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีปลอมแปลงเอกสารโอนหุ้น เสี่ยชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หรือเสี่ยจืด อายุ50 ปี นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างชื่อดัง คดีหมายเลขดำ อ.305/2561 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 โจทก์ และนางศิริรัตน์ แซ่ตั๊ง อายุ 58 ปี ภรรยาของนายชูวงษ์ กับครอบครัวของนายชูวงษ์ รวม 4 ราย โจทก์ร่วมยื่นฟ้อง น.ส.กัญฐณา หรือน้ำตาล ศิวาธนพล อายุ 31 ปี อดีตพริตตี้คนสนิทของ พ.ต.ท.บรรยิน น.ส.อุรชา หรือป้อนข้าว วชิรกุลฑล หรือ น.ส.วัชรียา หรือน้ำมนต์ วัชรประยงค์วุฒิ อายุ 30 ปี เจ้าหน้าที่การตลาด หรือโบรกเกอร์บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง และคนสนิทของ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อายุ 58 ปี อดีต รมช.พาณิชย์ และอดีต ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชาชน และ น.ส.ศรีธรา พรหมา อายุ 57 ปี มารดาของ น.ส.อุรชา เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ลักทรัพย์ และรับของโจร มูลค่า 230 ล้านบาท พวกจำเลยให้การปฏิเสธ

โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า จำเลยที่ 1-3 มีความผิดฐานร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ให้จำคุก น.ส.กัญฐณา หรือน้ำตาล อดีตพริตตี้ จำเลยที่ 1 และ น.ส.อุรชา หรือป้อนข้าว อดีตโบรกเกอร์ จำเลยที่ 2 คนละ 4 ปี

ส่วน พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 3 ให้จำคุก 2 กระทงๆ ละ 4 ปี รวมจำคุก 8 ปี โดยให้ยกฟ้อง น.ส.ศรีธรา มารดาของอดีตโบรกเกอร์ จำเลยที่ 4

Advertisement

ต่อมา โจทก์ที่ 2 และจำลยที่ 1, 2, 3 ยื่นอุทธรณ์

ซึ่งวันนี้ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ไปยังเรือนจำที่จำเลยที่ 1-3 ถูกคุมขัง

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วข้อเท็จจริงเบื้องต้นในชั้นอุทธรณ์รับฟังได้ว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ว่าการที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาลับหลังจำเลยที่ 2 โดยทนายจำเลยที่ 2ไม่ได้มาศาลในวันสืบพยานนั้นเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า

Advertisement

เมื่อวันที่ 5 ก.ย.61 ศาลชั้นต้น อนุญาตให้จำเลยที่ 2 และที่ 4 ไม่ต้องมาฟังการพิจารณาและสืบพยานโดยจำเลยที่ 2 และที่ 4 แต่งตั้งนายวุฒิกร พินิจมั้ง ให้ทำหน้าที่เป็นทนายความของจำเลยที่ 2 และที่ 4 ในคดีซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในนัดสืบพยานโจทก์มีหลายนัด ที่จำเลยที่ 2 และที่ 4 รวมทั้งทนายความ ไม่มาศาล โดยศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาในวันดังกล่าวว่าจำเลยที่ 2 และที่ 4 ได้รับอนุญาตให้ไม่มาฟังการพิจารณาและสืบพยาน ส่วนทนายจำเลยที่ 2 และที่ 4 ติดว่าความในคดีอื่น , รักษาตัวโรคเนื้องอก แต่การสืบพยานโจทก์หลายปากเกี่ยวข้องและเป็นผลเสียหายแก่จำเลยที่ 2 และที่ 4 กรณีจึงไม่อาจสืบพยานลับหลังจำเลยที่ 2 และที่ 4 ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 172 ทวิ (2) ได้เพราะกรณีดังกล่าวอาจต้องห้ามตามมาตรา 172 ทวิวรรคสองได้

ต่อมาวันที่ 24 ก.ค.62 จำเลยที่ 2 และที่ 4 มาศาลพร้อมทั้งยื่นคำร้อง ขอเลื่อนคดีของทนายจำเลยที่ 2 และที่ 4 โดยอ้างว่าทนายจำเลยที่ 2 และที่ 4 ป่วยด้วยโรคมะเร็งต้องเข้ารับการผ่าตัดและต้องพักฟื้น2 เดือน แต่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต และจำเลยที่ 2 และที่ 4 ไม่ติดใจถามค้านพยานโจทก์ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาและสืบพยานที่ไม่ถูกต้องตามมาตรา 172 วรรคหนึ่งและ 172 ทวิ (1) เช่นกัน แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความต่อไปว่าต่อมาวันที่ 27 ส.ค.62 จำเลยที่ 2 และที่ 4 ได้แต่งตั้งทนายจำเลยที่ 3 ให้เป็นทนายจำเลยที่ 2 และที่ 4 ด้วย แต่กรณีดังกล่าวไม่ทำให้การพิจารณาและสืบพยานที่ได้กระทำไปแล้วกลับมาเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด

จากกรณีดังวินิจฉัยมาข้างต้น จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการดำเนินกระบวนพิจารณาในส่วนของการพิจารณาและสืบพยานลับหลัง จำเลยที่ 2 และที่ 4 ศาลอุทธรณ์จึงต้องยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และย้อนสำนวนคดีนี้ไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในส่วนของการสืบพยานลับหลังจำเลยที่ 2 และที่ 4 แล้วพิพากษาคดีนี้ต่อไปตามรูปคดีที่ได้ความดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 208 (2) อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2ฟังขึ้น และกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ในข้ออื่นและอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ในส่วนของจำเลยที่ 4 ต่อไป สำหรับอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ในส่วนอื่นและอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 นั้นให้รอไว้วินิจฉัยเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาใหม่เฉพาะจำเลยที่ 2 และที่ 4 แล้ว

พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในขั้นตอนการสืบพยานโจทก์ 10 ปาก ในส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 4 กับสืบพยานโจทก์อีก 2ปาก ในส่วนของจำเลยที่ 4 ใหม่แล้วมีคำพิพากษาใหม่เฉพาะจำเลยที่ 2 และที่ 4 ไปตามรูปคดี ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ในส่วนของจำเลยที่ 4

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้ผลตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวเท่ากับว่า ผลคำพิพากษาเดิมเฉพาะในส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 4 ของศาลชั้นต้นยังไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย ส่วนจำเลยอื่นผลคำพิพากษาคงเป็นไปตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษามา แต่อย่างไรก็ตามการพิจารณาอุทธรณ์ในส่วนอื่นรวมถึงหากศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 4 แล้ว หากผลของคดีเปลี่ยนแปลงอาจมีการอุทธรณ์ในส่วนนี้อีกครั้ง ดังนั้นคดีนี้ต้องรอศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนการสืบพยานโจทก์ทั้ง 11 ปากตามที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาใหม่เสียก่อน

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image