คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : ก่อนจะตัดสินใจวิ่งฝ่าฝน

แม้จะไม่มีความชัดเจนใดๆ จากภาครัฐในขณะนี้ แต่ก็เหมือนกับว่าแต่ละฝ่ายเริ่มเตรียมตัว
ที่จะกลับไปใช้ชีวิตแบบ “เปิดเมือง” กันเงียบๆ เรียบร้อยแล้ว

เห็นได้จากรถราที่กลับมาหนาแน่นบนท้องถนนใกล้เคียงช่วงเวลาก่อนการระบาดระลอกกลางปี
ผู้โดยสารในระบบรถไฟฟ้าที่เริ่มขยับเข้าหากัน (แต่ผู้ประกอบการอ้างว่ายัง 75% ของความจุขบวนรถ) สำนักงานหลายแห่งเริ่มเพิ่มจำนวนผู้ที่เข้ามาทำงานและลดวันที่ทำงานที่บ้านลง และมีข่าวว่าในเดือนตุลาคม บริษัทบางแห่งหรือแม้แต่หน่วยราชการก็เริ่มมีการส่งสัญญาณให้พนักงานหรือเจ้าหน้าที่ทราบกันแล้วว่าอาจจะยกเลิกมาตรการทำงานที่บ้านกันเลยก็มี รวมถึงโรงเรียนหลายที่ก็ทยอยแจ้งแผนการกลับสู่ห้องเรียนให้ผู้ปกครองทราบ

การเตรียมผ่อนคลายมาตรการที่ว่านี้ราวกับว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยนั้นเป็นไปในทางที่ดีขึ้นจนกลับไปใช้ชีวิตเป็นปกติได้แล้วกระนั้น แต่ถ้าจะยอมรับกันตรงๆ ทุกฝ่ายก็รู้เท่าๆ กันว่ามันไม่ใช่ แต่เป็นเพราะทุกฝ่ายที่ว่านั้นเองที่เริ่มจะ “ไม่ไหว” กันหมดแล้วต่างหาก
โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่การเปิดทำการคือความอยู่รอดอันแท้จริง เพราะหมายถึงการทำเงินที่เปรียบเสมือนมวลเลือดหล่อเลี้ยงระบบธุรกิจ ที่ส่วนใหญ่เลือดไหลออกกันทางเดียวมานานหลายเดือนแล้ว หรือบางกิจการอาจต้องยอมตัดอวัยวะ เช่น การเลิกจ้างหรือปิดสาขาเพื่อลดความสูญเสียเพื่อให้องคาพยพส่วนใหญ่ยังนอนนิ่งหายใจรวยรินไปได้แบบไม่มีอะไรเข้า แต่ก็ไม่มีอะไรออก

สำหรับผู้ที่อยู่ในระบบการศึกษาไม่ว่าจะระดับใดยังเพิ่มความ “ไม่ไหว” รวมไปถึงสภาพจิตที่เริ่ม
เสียหายรวมไปถึงพฤติกรรมของต่างๆ ของผู้เรียนในทุกระดับชั้นรวมถึงผู้ปกครอง ซึ่งบางส่วนอาจส่งผล
กระทบต่อพฤติกรรมในระยะยาวด้วย เช่น กรณีเด็กปฐมวัยการเข้าสู่สังคมครั้งแรกนั้นกลายเป็นแบบ
โลกเสมือนที่แสนจะไม่จริง

Advertisement

นั่นคือเหตุผลหลักที่ทำให้แม้ไม่ได้สัญญาณ แต่ทุกฝ่ายก็เหมือนจะมีหมุดหมายที่มองไม่เห็นที่ตั้งไว้ในวันที่ 1 ตุลาคม ที่กำลังจะมาถึงในอีกสองวันจากนี้

โดยที่ทุกฝ่ายที่ถ้าประเมินพิจารณาเรื่องราวต่างๆ แบบตรงไปตรงมา ก็น่าจะรู้เท่ากันว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส หรือแม้แต่การรับมือป้องกันนั้นแม้จะดีขึ้นกว่าช่วงวิกฤตอันสาหัส แต่ก็ไม่ถือว่าดีพอหากเทียบกับมาตรฐานสากลอันควรผ่อนคลายไปสู่ระดับนั้นได้

จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่และผู้หายป่วยจากระบบที่ทางการประกาศในแต่ละวันนั้นแม้จะมีตัวเลขที่สวยงามดูดี แต่ผู้ที่ติดตามอย่างใกล้ชิดก็ยังเห็นว่ามีส่วนที่น่ากังขาว่ามีข้อมูลสำคัญบ่งชี้บางอย่างที่หายไป จำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนมากขึ้นทั้งจำนวนและสัดส่วน แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าวัคซีนที่ผู้คนส่วนใหญ่ได้รับนั้นมีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันที่ต่ำ หากจะมีประโยชน์อยู่บ้างก็เพื่อจะลดการเจ็บป่วยอย่างรุนแรงที่จะก่อวิกฤต

Advertisement

แม้มีข่าวว่าโรงพยาบาลสนามขนาดใหญ่ที่สุดของกรุงเทพมหานครจะปิดตัวลงเพราะผู้ป่วยลดลงจน
ไม่มีความจำเป็น ที่เหมือนจะเป็นข่าวดี หากในอีกทางหนึ่ง มิตรสหายที่เป็นแพทย์ในต่างจังหวัด ก็เตือนกันมาว่าโรงพยาบาลสนามขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในหลายจังหวัดนั้นคนไข้ล้น เด็กเล็กต้องจัดให้นอนเตียงเดียวกับผู้ปกครองเพื่อจะมีเตียงเหลือไว้รับคนป่วยที่เกินจำนวน เตียงเสริมกำลังสั่งประกอบยังส่งมาไม่ครบ บางห้องต้องปูเสื่อนอน

การ “ผ่อนคลาย” หรือกลับมาใช้ชีวิตตามปกตินั้น หากให้เปรียบเทียบจึงเหมือนกับเมื่อฝนตกหนักแล้วเราไปติดฝนอยู่ในที่แห่งหนึ่งโดยไม่มีร่ม ในตอนแรกเราอาจจะรอให้ฝนหาย หรืออย่างน้อยก็ซาลงจนพอเดินออกไปได้บ้าง แต่เมื่อดูท่าทีแล้วฝนคงไม่หยุดง่ายๆ และเวลาก็ผ่านไปนานเกินไปจนไม่รู้ว่าจะรอจนถึงเมื่อไรในขณะที่ท้องฟ้าก็มืดลงเรื่อยๆ ในที่สุดเมื่อฝนเริ่มเบาลงแม้เพียงน้อย เราก็ฝืนฝ่าเดินออกแบบยอมเปียก ดีกว่าไม่ได้กลับบ้านหรือไปต่อ

ความจำเป็นที่ต้องไปต่อแม้ฝนจะยังไม่ซา หรือสถานการณ์จะยังไม่ดีนักจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้อย่างยิ่ง แต่กระนั้น ข้อหนึ่งที่อยากจะให้ยึดถือไว้คือ การไปต่อที่ว่านั้นจะต้องไปต่อบนพื้นฐานของการยอมรับความจริงด้วย

ประการแรก คือยอมรับความจริงว่าการติดเชื้อใหม่นั้นลดลง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ตัวเลขซึ่งทางการประกาศก็มาอยู่ในราวหมื่นกว่ารายขึ้นไปต่อวัน ไม่นับที่ตรวจด้วยตัวเองด้วยชุด ATK และเชื้อสายพันธุ์ที่กำลังระบาดอยู่ส่วนใหญ่นี้เป็นสายพันธุ์เดลต้าที่มีอันตรายและติดเชื้อได้ง่ายและวัคซีนหลักที่คนไทยได้รับนั้นยังมีประสิทธิภาพป้องกันได้อย่างไม่เป็นที่น่าพอใจ

ประการต่อมา คือยอมรับความจริงด้วยว่า แม้ตัวเลขผู้ได้รับวัคซีนจะเป็นตัวเลขห้าสิบล้านโดส แต่กว่าครึ่งเป็นการฉีดเข็มแรก และวัคซีนหลักที่คนส่วนใหญ่ได้รับเป็นเข็มแรกนั้นมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อที่ต่ำมาก เรียกว่าเป็นวัคซีนเพื่อลดความรุนแรงของโรคมากกว่าการสร้างภูมิคุ้มกัน เรื่องนี้คงไม่ต้องพูดหรือเถียงกันให้ยาก เพราะรายงานการติดเชื้อแม้ได้รับวัคซีนไปแล้วสองถึงสามเข็มก็มีให้เห็นกันเรื่อยๆ แม้ที่สุดแล้วอาการจะไม่หนักถึงชีวิต แต่ก็เป็นพาหะของไวรัสได้ทั้งสิ้น

ข้อความจริงทั้งสองประการนี้ คือสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องยอมรับ ไม่ว่าสุดท้ายผู้กำหนดนโยบายการผ่อนคลายหรือกลับมาใช้ชีวิตตามปกติจะตัดสินใจอย่างไร ตั้งแต่ภาครัฐที่กำหนดนโยบายหลักและมาตรการทางกฎหมาย ผู้บริหารองค์กรภาคเอกชนหรือภาครัฐที่จะตัดสินใจเรียกคนกลับเข้ามาทำงานยังสถานที่ตั้ง หรือสถานศึกษาที่เลือกจะเปิดเรียนแบบให้นักเรียนกลับเข้าห้อง

สําหรับภาครัฐ การบริหารจัดการวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสนี้ตั้งแต่ต้น คือการบริหารประเทศที่ผิดพลาดและส่งผลร้ายแรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ผู้คน เศรษฐกิจของประเทศอย่างหนักหนาที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศนี้แล้ว ผู้คนเสียชีวิตจากโควิด-19 จนถึงตอนนี้น่าจะมากกว่าความสูญเสียที่เกิดจากสงครามทั้งหลายน้อยใหญ่ที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมรวมกันนับแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมาแล้ว เมื่อไล่เรียงจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงท่านก็คงนึกออกว่ามีครั้งไหนบ้างที่การตัดสินใจที่ผิดพลาดในแต่ละระลอก เช่นนี้มาตรการหรือการผ่อนคลายใดที่จะประกาศออกมาในเดือนตุลาคมนี้และเดือนต่อๆ ไป ถ้าเป็นการตัดสินใจที่ไม่อยู่บนพื้นฐานของความจริง ก็อาจจะเป็นความผิดพลาดระดับจุดเปลี่ยนสำคัญได้อีกครั้งเช่นกัน

การเอาตัวเลขที่ทางการประกาศมาพิจารณาว่าสถานการณ์ดีขึ้น ผู้คนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนแล้ว หรือในองค์กรหน่วยงานฉีดวัคซีนให้พนักงานเจ้าหน้าที่กันหมดแล้ว ดังนั้น จึงสามารถเดินหน้าผ่อนคลายหรือเรียกคนกลับเข้ามาทำงานเต็มกำลังนั้น ในที่สุดหากเกิดความเสียหายขึ้นมา มันจะร้ายแรงจนท่านไม่อาจรับผิดชอบไหว ไม่ว่าจะในทางกฎหมาย ในทางสังคม หรือแม้แต่จริยธรรมของท่านเอง

อย่าลืมการติดเชื้อที่รุนแรงในระลอกนี้ที่ในช่วงที่หนักที่สุดมีคนตายกันที่บ้าน ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อภายในครอบครัว เนื่องจากมีสมาชิกที่ยังต้องออกไปทำงานนั้นได้รับเชื้อมาจากที่ทำงานหรือสถานประกอบการ

เช่นนี้ผู้บริหารองค์กรที่จะเรียกคนกลับเข้ามาทำงานในสำนักงานกันตามปกติด้วยประเมินว่าผู้คนที่ทำงานให้ท่านนั้นได้รับวัคซีนกันครบโดสแล้ว ก็ควรพิจารณาด้วยว่าวัคซีนที่พวกเขาได้รับนั้นเป็นวัคซีนอะไร และมีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันระดับไหน ก็ลองไปดูข่าวที่มีร้านอาหารร้านหนึ่งที่ฉีดวัคซีนให้พนักงานแล้วทุกคนครบสองเข็มแล้วแต่ก็ยังติดเชื้อกันทั้งร้าน หรือที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจบางสถานี หรือสถานที่ราชการบางแห่งบางที่บางคนฉีดกันไปสามเข็มก็ยังติดเชื้อได้อยู่ก็ได้ว่า พวกเขาเหล่านั้นได้รับวัคซีนยี่ห้อใดชนิดใด

หรือสำหรับโรงเรียนหลายแห่งที่จะจัดฉีดวัคซีนให้นักเรียนเพื่อเตรียมกลับมาเรียนนั้นก็ด้วย ท่านต้องพิจารณาว่าวัคซีนที่จะฉีดให้นักเรียนส่วนใหญ่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อหรือไม่

เพราะแม้พนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของท่านผู้ฉีดวัคซีนแล้วอาจจะไม่เป็นอะไรร้ายแรงหากติดเชื้อ แต่ถ้าวัคซีนนั้นกันการติดเชื้อไม่ได้ และมีการติดเชื้อกันในหน่วยงานหรือองค์กรของท่านจนกลายเป็นคลัสเตอร์ หรือโชคร้ายกว่านั้นคือเชื้อนั้นติดต่อไปยังพนักงานที่ยังไม่ได้รับวัคซีน เป็นกลุ่มเปราะบาง หรือครอบครัวของเขา แล้วนั่นเป็นสาเหตุให้ถึงแก่ชีวิต ท่านพร้อมรับผิดชอบหรือไม่

รวมถึงถ้าผู้โชคร้ายนั้นเป็นเด็กบางคนในโรงเรียนที่เปิดเรียนด้วยวัคซีนเช่นนั้น และเป็นชีวิตเด็ก หรือพ่อแม่ปู่ย่าของเขาที่ต้องจากไปจากการแพร่ระบาดที่มาจากในโรงเรียนนั่นก็อีก

ต่อให้ตัดเรื่องความรับผิดชอบทางกฎหมายออกไปก็ได้ ท่านผู้บริหารองค์กรที่เรียกคนกลับเข้าทำงานหรือผู้บริหารโรงเรียนที่เรียกเด็กๆ กลับเข้าโรงเรียนแล้วเกิดเรื่องเช่นว่าขึ้น (ซึ่งไม่ใช่การคาดการณ์ที่เลวร้ายเกินจริงเลย) ท่านจะแบกรับความรู้สึกผิดนั้นไปอีกชั่วชีวิต หรือท่านจะปรับใจไปต่อแล้ววางมันลงได้อย่างง่ายดายเล่า

สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องเปิดให้บริการทางกายภาพที่เป็นกิจกรรมหลักของธุรกิจหรือองค์กร อย่างร้านอาหาร ธุรกิจบริการ การค้าขายทั่วไปนั้นก็เป็นความจำเป็นที่เข้าใจได้ แต่สำหรับงานที่โดยรูปแบบ สภาพงาน และผลลัพธ์แล้ว สามารถทำงานกันจากที่ไหนก็ได้ แต่การเรียกคนกลับเข้ามาทำงานเต็มสำนักงานนั้นเป็นเพียงเพราะไม่อาจวางระบบการทำงานให้คงประสิทธิผลหรือผลิตภาพของทีมได้ หรือเพียงเพราะแค่รู้สึกว่าการให้ทำงานแบบ Work from home นั้นไม่ได้ดังใจ หรือแค่ทำงานไม่สะดวกหรือไม่คุ้นชิน จึงต้องเรียกคนกลับเข้าทำงานยังที่ตั้งแบบเต็มอัตราเมื่อสถานการณ์เปิดช่อง เช่นนี้ก็น่าเสียดาย

เราจะหยุดทุกอย่างหรือคงสภาพไว้เช่นสองสามเดือนที่ผ่านมานั้นไม่ได้แน่ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะกลับไปเหมือนสมัยที่ไม่มีการแพร่ระบาดหรือสถานการณ์สักกลางปีที่แล้วเช่นนั้นได้เช่นกัน เรายังมีทางสายกลางที่สามารถปรับให้เราอยู่กับไวรัสภัยนี้ไปได้อย่างไม่เกิดความสูญเสียมากมาย เพียงแต่หาวิธีการหรือช่วงเวลาที่เราพอจะวิ่งฝ่าฝนออกไปโดยไม่เปียกลื่นเป็นอันตราย ทั้งหมดนี้อยู่บนพื้นฐานของการยอมรับความจริง และวางแผนกันบนพื้นฐานของความจริงที่ยอมรับกันแล้วนั้น

ถ้าเราจำเป็นต้องวิ่งฝ่าฝนเพื่อไปต่อ อย่างน้อยต้องยอมรับว่าฝนยังตกอยู่ และเรายังไม่มีร่ม เราจะทำอย่างไรให้เปียกน้อยที่สุด

กล้า สมุทวณิช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image