คุก เบนจา อะปัญ ละเมิดอำนาจศาล ชุมนุมก่อม็อบตะโกนใส่ร้ายการทำหน้าที่ตุลาการ

ศาลอาญาสั่งจำคุก ‘เบนจา’ ละเมิดอำนาจศาล 6 เดือน ชุมนุมก่อม็อบตะโกนใส่ร้ายการทำหน้าที่ตุลาการ โปรยกระดาษหน้าบันไดศาล

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำสั่งคดีละเมิดอำนาจศาลหมายเลขดำ ล.ศ.6/2564 ที่ ผอ.สำนักอำนวยการประจำศาลอาญา เป็นผู้กล่าวหา น.ส.เบนจา อะปัญ ผู้ถูกกล่าวหา

กรณีเมื่อวันที่ 29 เม.ย.64 กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ชวนกันมาทำกิจกรรมยื่นจดหมายราชอยุติธรรม พร้อมทั้งยืนอ่านกลอนตุลาการภิวัฒน์ที่ศาลอาญา โดยมีกลุ่มบุคคลดังกล่าวเข้ามาบริเวณศาล รวมตัวกันอยู่ที่บริเวณบันไดทางขึ้นหน้าศาล ซึ่งมีการใช้เครื่องขยายเสียงและตะโกนข้อความปล่อยเพื่อนเรา โดยระหว่างที่มีการทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยภายในศาลอาญา ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งร่วมในกลุ่มได้วิ่งผ่านแนวรั้วแผงเหล็กที่กั้นอยู่หน้าบันไดทางขึ้นศาลอาญา พร้อมโปรยแผ่นกระดาษและพยายามหลบหลีกเจ้าหน้าที่ศาลอาญาโดยขณะวิ่ง และยังตะโกนสรุปข้อความว่า “ตุลาการเช่นนี้ อย่ามีเลย” และพูดผ่านเครื่องขยายเสียงข้อความอื่นด้วย

ศาลพิเคราะห์แล้ว แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 34, 44 ได้บัญญัติถึงสิทธิเสรีภาพของบุคคลในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น รวมถึงเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างก็ตาม แต่บทบัญญัติทั้งสองดังกล่าวยังได้บัญญัติอีกว่าสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวจะต้องถูกจำกัดโดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยสาธารณะ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญยังได้บัญญัติถึงหน้าที่ของปวงชนชาวไทยในมาตรา 50 (3) ว่าบุคคลต้องมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และมาตรา 50 (6) บัญญัติว่าบุคคลมีหน้าที่เคารพและไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น และไม่กระทำการใดที่อาจก่อให้เกิดความแตกแยกหรือเกลียดชังในสังคม

Advertisement

ดังนั้น ผู้ถูกกล่าวหาในฐานะบุคคลอันเป็นหนึ่งในปวงชนชาวไทย ย่อมต้องปฏิบัติ “หน้าที่” ควบคู่ไปกับการใช้สิทธิและเสรีภาพด้วย หาใช่จะใช้เฉพาะสิทธิและเสรีภาพเท่านั้นไม่ ข้อกำหนดของศาลอาญาว่าด้วยการรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาลอาญา พ.ศ.2564 ถูกกำหนดมาเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และเพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่นมิให้ถูกล่วงล่วงละเมิดโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 อันเป็นกฎหมายที่รัฐธรรมนูญรองรับไว้ ซึ่งข้อกำหนดศาลอาญา ข้อ 1 กำหนดห้ามมิให้ผู้ใดประพฤติตนใช้คำพูดหรือกิริยาในทางที่ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ก่อความรําคาญ ส่งเสียงดัง หรือในทางประวิงให้การดำเนินกระบวนพิจารณาชักช้าหรือในทางฟุ่มเฟือยเกินสมควร หรือกระทำในลักษณะที่เป็นการยั่วยุจูงใจสนับสนุนใดๆ ในการกระทำดังกล่าวในห้องพิจารณาหรือภายในบริเวณศาลอาญา รวมถึงการกระทำอย่างอื่นในทำนองเดียวกัน… ฯลฯ ข้อ 6 ห้ามมิให้นำหรือใช้โทรโข่งไมโครโฟนเครื่องขยายเสียง รวมถึงอุปกรณ์ขยายเสียงต่างๆ หรือการกระทำอย่างอื่นในทำนองเดียวกันภายในศาลอาญา หรือบริเวณรอบศาลอาญา เว้นแต่ได้รับอนุญาตตามข้อกำหนดของศาลอาญา

เมื่อข้อเท็จจริงตามทางไต่สวน ได้ความว่าผู้ถูกกล่าวหากับพวก ประมาณ 300 คน ได้พากันเข้ามาบริเวณอาคารศาลอาญาแล้วกล่าวถ้อยคำโดยใช้อุปกรณ์ขยายเสียงรวมถึงตะโกนและวิ่งโปรยกระดาษ อันมีลักษณะส่งเสียงดังก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ก่อความรำคาญ อีกทั้งถ้อยคำที่ผู้ถูกกล่าวหากล่าวและอ่านบทกลอนที่มีเนื้อหาที่ประณามใส่ร้ายและดูหมิ่นต่อการทำหน้าที่ของผู้พิพากษาตุลาการ อันมีลักษณะก่อให้เกิดความแตกแยกหรือเกลียดชังในสังคม การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาจึงเข้าข่ายไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 50 (3)(6) และเป็นการละเมิดข้อกำหนดของศาลอาญาข้อ 1 และข้อ 6 อันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

ส่วนที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างถึงการอดอาหารและความเจ็บป่วยของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ก็ดี อ้างถึงเพื่อนของผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นจำเลยซึ่งศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวก็ดี อ้างว่าการทำหน้าที่ของผู้พิพากษาตุลาการที่อาจกระทำโดยไม่ชอบด้วยหลักนิติธรรมก็ดี อ้างว่าศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวนายพริษฐ์กับพวกอย่างไม่เป็นธรรมและแตกต่างกับกรณีที่ศาลอนุญาตปล่อยชั่วคราวจำเลยในคดีของกลุ่ม กปปส.ก็ดี ล้วนเป็นความรู้สึกนึกคิดของผู้ถูกกล่าวหาเองทั้งสิ้นโดยขาดฐานความรู้และความเข้าใจในข้อกฎหมายอันเป็นหลักสากลที่ใช้กันในนานาอารยประเทศ อีกทั้งข้ออ้างของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวนี้ ผู้ถูกกล่าวหาสามารถเรียกร้องขอความชอบธรรมได้ภายในกรอบของรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นๆ ด้วยวิธีการที่ผู้เจริญหรือผู้มีอารยะปฏิบัติกัน โดยไม่จำเป็นที่จะต้องกระทำการละเมิดข้อกำหนดของศาลอาญา ข้อต่อสู้ทั้งหมดของผู้ถูกกล่าวหาฟังไม่ขึ้น

Advertisement

จึงมีคำสั่งว่า น.ส.เบนจา ผู้ถูกกล่าวหา มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ป.วิ.พ.) มาตรา 30, 31 (1), 33 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อ.) มาตรา 15, 180 ให้ลงโทษจำคุกผู้ถูกกล่าวหามีกำหนด 6 เดือน

แม้ผู้ถูกกล่าวหาให้การรับข้อเท็จจริงว่าได้กระทำการตามคำกล่าวหาก็ตาม แต่กลับต่อสู้ว่าการกระทำของตนไม่เป็นความผิด อันเป็นการแสดงว่าผู้ถูกกล่าวหามิได้สำนึกถึงการกระทำ ประกอบกับคำรับของผู้ถูกกล่าวหานั้นเป็นไปในทางจำนนต่อพยานหลักฐานที่ปรากฏแน่ชัด คำรับข้อเท็จจริงของผู้ถูกกล่าวหาจึงไม่เป็นประโยชน์ในการพิจารณาอันจะเป็นเหตุบรรเทาโทษได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จึงไม่ลดโทษให้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image