เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ เวที “Blockchain Thailand Genesis 2021 กับดินแดนโลกเสมือนจริง” โดยเฉพาะมุมมองต่ออนาคตของประเทศไทยในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเสวนา
คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า การเกิดขึ้นของบล็อกเชน คริปโท หรือดิจิทัลแอสเสท ด้วยเทคโนโลยีและฟีเจอร์ที่เป็นประโยชน์ จึงได้รับความนิยมจากนักลงทุน ทั้งในส่วนของบุคคลและสถาบันต่างๆ ทั่วโลกมากยิ่งขึ้น จึงเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะมูลค่าการตลาด จึงมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินบนพื้นฐานของคริปโทออกมาเป็นจำนวนมาก และสวนทางกับเซกเตอร์อื่นๆ แม้จะมีสถานการณ์โควิดทั้งในรูปแบบที่เป็นแอพพลิเคชั่นของบล็อกเชน หรือตัวบล็อกเชนเอง เช่น NFT โตขึ้นกว่า 700% หรือระบบการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง หรือ DeFi ที่โตขึ้นถึง 88 เท่า หรือ Game fi หรือ metaverse ที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด จะเป็นโอกาสสำหรับประเทศไทย ทั้งรายเล็ก รายใหญ่ วันนี้ภาครัฐต้องเข้าใจเทคโนโลยีเหล่านี้ และวางกลยุทธ์ให้ถูกต้อง ส่งเสริมให้เกิดโอกาสการใช้เทคโนโลยีกับประชาชน โดยเฉพาะคนตัวเล็ก
ส่วนการเกิดขึ้น พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัล เห็นว่าการออกกฎหมายไม่ควรมองเพียงมุมเดียว โดยเฉพาะการกำกับควบคุม แต่ต้องเข้าใจพื้นฐานเทคโนโลยี และมองว่าการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีเหล่านี้คือ “โอกาส” ของคนตัวเล็ก ดังนั้น หากไปกำกับควบคุมเพียงด้านเดียว จะทำให้คนไทยเสียโอกาส เช่น บริษัทสตาร์ตอัพต่างๆ ต้องไปจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นการเสียโอกาสของผู้ประกอบการ SMEs หรือสตาร์ตอัพคนรุ่นใหม่ ที่จะสามารถใช้เทคโนโลยีไประดมทุน และสร้างรายได้ในต่างประเทศ
คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวด้วยว่า เห็นว่าการจัดการเรื่องภาษีเป็นอุปสรรคของผู้ลงทุนรายบุคคล และตัวภาคธุรกิจเอง โดยเฉพาะความซ้ำซ้อนของภาษีต่างๆ เป็นที่มาที่ “พรรคไทยสร้างไทย” คิดว่าต้องจัดการเรื่องระบบภาษีของดิจิทัล เอสเสท ด้วยการลดหย่อนได้หรือปรับลดได้ เช่น Capital Gains Tax 0% หรือการลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดาสำหรับผู้ที่ลงทุนในดิจิทัล เอสเสท เหมือนกับการลงทุนใน RMF, SSF ดังนั้น ต้องมาดูว่าจะทำอย่างไรที่จะคว้าโอกาสให้เป็นของคนตัวเล็ก ซึ่งต้องมาดูว่าจะต้องมีกฎหมายเพื่อเปิดโอกาสให้คนตัวเล็กไประดมทุนในต่างประเทศได้
หรือกระทั่งการพัฒนาไทยให้เป็นศูนย์กลางการลงทุนในด้านดังกล่าว ซึ่งต้องไปปรับแก้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เปิดโอกาสให้เกิดการดึงคนที่มีศักยภาพมาลงทุน ซึ่งภาครัฐต้องเข้าใจว่าการเข้ามาของเทคโนโลยีไม่ได้ทำร้ายคนไทย โดยเฉพาะคนตัวเล็ก แต่มันคือโอกาสที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้น การออกกฎหมายต้องไม่ใช่ควบคุมเพียงมิติเดียว แต่ต้องออกกฎหมายในเชิงสนับสนุนเสริมสร้าง ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนตัวเล็ก
นอกจากนี้ ยังเห็นว่าการเรียนรู้ในส่วนของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งในหลายประเทศมีการสอนอย่างจริงจังในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา จึงเห็นว่าประเทศไทยต้องเริ่มต้นการสอนในเรื่องเทคโนโลยีเหล่านี้ให้กับนักเรียน ควบคู่ไปกับการพัฒนาคนให้เป็น Global Workforce ด้านดิจิทัล และต้องเปิดรับให้ต่างชาติที่เก่งในเรื่องเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาลงทุน และทำงานในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยสร้างงาน สร้างเศรษฐกิจ สร้างโอกาสให้คนตัวเล็ก
