ชิงปิดประชุม ขอให้ลงมติยกเลิกประกาศและคำสั่ง คสช. ครั้งหน้า ด้าน “สุชาติ” ขออย่าพูดว่ารีบชิงปิดประชุมหนีประชุมล่ม
เมื่อเวลา 15.45 น. วันที่ 8 ธันวาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่มีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 เป็นประธานการประชุม มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยกเลิกประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย พ.ศ. …. ที่เสนอโดยนายจอน อึ๊งภากรณ์ กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 12,609 คน เป็นผู้เสนอ และ ร่างพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พ.ศ. …. ที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล กับคณะ เป็นผู้เสนอ
โดยนายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ในฐานะผู้เสนอร่างอภิปรายว่า เป็นเวลากว่า 5 ปี ตั้งแต่ คสช.ทำรัฐประหาร เราอยู่ภายใต้ระบบกฎหมายที่มีประกาศและคำสั่งของ คสช. เป็นใหญ่ และมีอำนาจอยู่เหนือกฎหมายทั้งปวง รวมแล้วว่า 500 ฉบับ ที่ออกโดยอำนาจเบ็ดเสร็จของคณะรัฐประหารที่สั่งการโดยคนๆเดียว ขาดการมีส่วนร่วม ขาดการตรวจสอบถ่วงดุล และเมื่อประกาศออกมาแล้วก็ให้มีผลบังคับใช้ทันที ขณะที่เรามี พ.ร.บ.ที่ใช้บังคับกันอยูาในประเทศประมาณ 800 กว่าฉบับ เรากลับมีปประกาศ และคำสั่งของคสช. บังคับใช้ควบคู่กันอีกกว่า 500 ฉบับ นี่จึงเป็นระบบกฎหมายที่ไม่เป็นปกติอย่างแน่นอน นอกจากนี้ เรายังอยู่ภายใต้คำสั่งที่ห้ามชุมนุมทางการเมือง ห้ามจัดเสวนาทางวิชาการในมหาวิทยาลัย ฯลฯ และมีคนถูกจับกุมในข้อหานี้ไปอย่างน้อย 421 คน และเป็นเวลากว่า 5 ปีที่ คสช. มีอำนาจเรียกใครก็ได้ไปรายงานตัวในค่ายทหาร หากไม่ไปตามคำสั่งก็จะมีความผิด แต่หากไปแล้วก็จะต้องมีการเซ็นต์เอ็มโอยู หากกลับมาแล้วไม่ทำตามคำสั่งคสช. ก็จะต้องถูกดำเนินคดีที่ฝ่าฝืนเอ็มโอยู และมีคนถูกดำเนินคดีนี้ไปอย่างน้อย 15 คน นอกจากนี้ เป็นเวลากว่า 5 ปีที่สื่อมวลชนไม่มีเสรีภาพในการเลือกนำเสนอเนื้อหาด้วยตัวเอง แต่อยู่ภายใต้ประกาศและคำสั่ง คสช. ที่จำกัดเนื้อหา และห้ามวิพากษ์วิจารณ์ คสช. ทั้งยังมีคำสั่งที่ให้อำนาจ กสทช. ลงโทษสื่อที่นำเสนอเนื้อหาที่อาจเข้าข่ายมีความผิด และยังให้อำนาจ คสช. สั่งให้สื่อทุกช่องถ่าทอดเนื้อหาตามที่ คสช. สั่ง
นายยิ่งชีพ กล่าวอีกว่า เป็นเวลากว่า 5 ปี ที่ให้อำนาจทหารในการจับกุมประชาชน เกษตรกรรายย่อย และรื้อถอนผลผลิตทางการเกษตร โดยอ้างว่าจะทวงคืนผืนป่า อาจกล่าวได้ว่า ระยะเวลามากกว่า 5 ปีที่เสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพการชุมนุม เสรีภาพสื่อ และเสรีภาพที่คนจะทำกิจกรรม่ทางการเมืองได้ในยุค คสช. ไม่มีอยู่เลย จะมีบ้างก็เพียงเท่าที่ คสช. อนุญาตให้มีเท่านั้น และยังมีประกาศคำสั่งอีกหลายฉบับที่กระทบต่อประเทศ และประชาชนในประเด็นอื่นๆ
จากนั้น นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายว่า สนับสนุนการยกเลิกประกาศและคำสั่ง คสช.และหัวหน้าคสช.ที่ขัดหลักสิทธิมนุษยชน มีประกาศและคำสั่งคสช.ที่จะถูกยกเลิก 17 ฉบับอาทิ การห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5คน การเรียกบุคคลมารายงานตัวตามคำสั่งคสช. การควบคุมสื่อออนไลน์ การสนับสนุนการชุมนุมทางการเมือง การจัดหาที่ดินเพื่อใช้ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ การยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการผังเมืองในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ทั้ง 17 ฉบับยังมีผลบังคับใช้อยู่ สิ่งแรกที่สภาฯควรทำคือ ขจัดมรดกรัฐประหาร ผลจากการรัฐประหารนำไปสู่การจับกุมแค่นัดกันมากินแซนด์วิช การจำกัดสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน และส่งผลให้คนบางส่วนต้องลี้ภัย แม้กระทั่งตนมีคดีติดตัวจากคสช.หลายคดี ไม่รู้จะถูกเล่นงานออกจากตำแหน่งเมื่อใด ทราบว่า จะตีตกร่างกฎหมายฉบับนี้ จะใจดำไม่ผ่านกันจริงๆใช่ไหม หวังว่า ส.ส.ทุกคนช่วยกันยกเลิกคำสั่งประกาศเหล่านี้ออกจากทางตัน ไม่กลับไปสู่วัฏจักรการรัฐประหารเหมือนที่ผ่านมา
ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก.ก. อภิปรายว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดเราต้องยกเลิกมรดกบาบของคสช. และยกเลิกคำสั่งคสช. โดยเฉพาะคำสั่งคสช.ที่ 26/2557 เนื้อหาเลวร้ายมากและขัดกับหลักนิติธรรมอย่างมาก ซึ่งคำสั่งดังกล่าวเกี่ยวข้องกลับการใช้สื่อโซเชียลมีเดียของประชาชน ให้อำนาจปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ตั้งคณะทำงานเป็นเกสตาโป ตรวจสอบข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ ทำตัวเป็นศาล หากพบว่าข้อมูลใดเป็นเชิงปลุกระดม ใช้วิจารณญาณของตัวเองได้เลย ไม่ต้องขอหมายศาลใดๆ อะไรที่ยั่งยุและอะไรที่เป็นการต่อต้าน คสช. สามารถสั่งระงับการเผยแพร่ได้เลย นี่คือความน่ากลัวของคำสั่งนี้ คณะทำงานชุดนี้เป็นศาลหรือถึงกล้ามาแทรกแซงอำนาจตุลาการ มีอำนาจมาพิพากษาว่าอะไรยั่งยุ อะไรปลุกระดม อะไรเป็นพิษภัย อะไรบิดเบือนอะไรจริง
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า นี่คือสิ่งที่ขัดกับหลักนิติรัฐทั้งหมด ตนจึงไม่แปลกใจว่าทำไมสหรัฐฯ ถึงไม่เชิญพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ไปร่วมประชุมด้วย และตนยืนยันว่าถ้าสภาแห่งนี้ ที่มาจากประชาชนในระบอบประชาธิปไตยไม่ยอมที่จะยกเลิกคำสั่ง คสช. จะเรียกว่าตัวเองเป็นผู้แทนราษฎรในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร และนี่จะเป็นเหตุผลที่เวทีสากลของโลกไม่เชิญประเทศไทยเข้าไปวงเวทีสากลขอประเทศในระบอบประชาธิปไตยอีก และจะเป็นความอับอายของประเทศไทยไม่จบ ไม่สิ้น ถ้าสภาฯแห่งนี้ยังมี ส.ส.แบบนี้อยู่ และคำสั่ง คสช.นี้เกิดขึ้นมาเพื่อทำลายเศรษฐกิจดิจิตัลอย่างชัดเจน ทั้งที่เศรษฐกิจดิจิตัลต้องการความคิดสร้างสรรค์ ต้องการให้สังคมกล้าที่จะพูด กล้าวิจารณ์ปัญหาในสังคมต่างๆ เพื่อจะได้มีความคิดสร้างสรรค์ร่วมกันในการคิดหาทางออกและเกิดนวัตกรรมที่เป็นธุรกิจและประกอบการใหม่ๆ จึงอยากถามว่าความคิดสร้างสรรค์จะเกิดได้อย่างไรถ้าสังคมนี้ไม่มีเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ ถ้ามีคำสั่งแบบนี้เกิดขึ้น ประเทศไปไหนไม่ได้ ไม่สามารถทำให้เกิดเศรษฐกิจสร้าวสรรค์ เศรษฐกิจดิจิตัลให้กับประเทศนี้ได้เลยและยิ่งจะทำให้ประเทศล้าหลังไปเรื่อยๆในสังคมโลก
“คำสั่งคสช.แบบนี้สุดท้ายแปรรูปเป็น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีแต่สร้างความกลัว มีแต่ความระแวง และเกิดการเซ็นเซอร์ตัวเอง ที่สำคัญที่สุดพอประชาชนอยู่ภายใต้ความหวาดระแวงไม่กล้าที่จะพูด ไม่กล้าวิจารณ์ และ จะเกิดปรากฎการณ์ทางวัฒนธรรมที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้น ในวันนี้แม้แต่นายกฯถึงกลับต้องบอกกับประชาชนให้กล้าหาญที่จะยื่นในโรงภาพยนต์ ผมเชื่อว่าถ้าประชาชนรู้ว่านี่คือคำสั่งหรือความคิดของพล.อ.ประยุทธ์ เขายิ่งไม่ยืนเพราะเขาต้องการต่อต้าน ไม่ให้ความร่ววมมือกับคนอย่างพล.อ.ประยุทธ์ ที่เป็นเผด็จการ”นายวิโรจน์ กล่าว
ขณะที่ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายว่า ประเทศเรามีการรัฐประหารอย่างรุนแรงมา 13 ครั้ง ช่วงที่ตนมีชีวิตอยู่นี้เจอมา 6 ครั้ง ประเทศเจอวิบากกรรมที่ทำให้เราถดถอน เพราะหากไม่มีการรัฐประหารเราคงพัฒนาไปไกลแล้ว ในเดือนสิงหาคมปี 65 หัวหน้าคณะรัฐประหาร ที่ก้าวขึ้นมาเป็นนายกฯ ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ จะมีวาระการดำรงตำแหน่งครบ 8 ปี ตนอยากดูว่ากระบวนการยุติธรรมในประเทศจะยังคงมีอยู่หรือไม่ หรือจะไปกันแบบข้างๆคูๆ วันนี้คำสั่งของคณะรัฐประหารยังคงอยู่ทุกฉบับ มาตรา 44 ใครก็รู้จักเพราะสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับประเทศ เช่น กรณีเหมืองทองอัครา ประกาศ และคำสั่งที่แทรกซึมไปในเนื้อกฎหมายของประเทศไทย วันนี้เพื่อนส.ส.ทั้งหลาย และเพื่อนนักการเมือง วันที่เราโดนรัฐประหาร เราหนีหัวซุกหัวซุน เราโดนคุมตัว เราโดนทำร้าย เราถูกกดขี่ เราภาวนาขอให้พรรคเราได้เข้ามาเป็นส.ส. ขอให้เราชนะการเลือกตั้ง เพื่อที่เราจะได้ไม่ร่วมรัฐบาลกับเผด็จการเด็ดขาด วันนี้อย่างที่เราเห็น เพื่อให้ประเทศเดินไป ท่านไปร่วมรัฐบาล ตนไม่ว่า แต่อยากให้ท่านได้สำนึกว่า คำสั่งของ คสช. ทุกฉบับนั้น เป็นตราบาปให้กับลูกหลานเรา อยากให้พี่น้องส.ส. จากพรรคการเมืองทุกพรรคได้ช่วยกันล้างมนทินเหล่านี้ให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ศิวิไลย์ เพื่อที่ทั่วโลกจะได้ยอมรับได้ วันนี้อยากให้นักการเมืองในสภาทั้ง 500 ท่าน สำนึกว่าเผด็จการทำลายล้างประเทศ และทำให้ประเทศถดถอย ฝากให้ท่านช่วยกันเอาประกาศ และคำสั่งเหล่านี้ออกไปจากประเทศไทย
ทั้งนี้ หลังจากส.ส.อภิปรายแสดงความเห็นอย่างกว้างขวางนานร่วม 4 ชั่วโมงแล้ว เวลา 20.10 น. นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ในฐานะประธานในที่ประชุม ได้ขอหารือว่าจะลงมติในวันเดียวกันนี้หรือเลื่อนไปครั้งหน้า นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เสนอขอลงมติในการประชุมครั้งถัดไป แต่นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บะญชีรายชื่อ พรรคก.ก. ขอให้ลงมติทันที ขณะที่นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคพท. หารือว่า ดูเหมือน ส.ส.ไม่ครบองค์ประชุม ทำให้นายสุชาติกล่าวทีเล่นทีจริงว่า “ขออย่าพูดว่า รีบชิงปิดประชุมหนีประชุมล่ม” ก่อนจะสั่งปิดประชุมทันทีในเวลา 20.10 น. โดยให้ไปลงมติในสัปดาห์หน้า