วันที่ 16 มกราคม มีการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 สงขลา และเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 1 ชุมพร
นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งยืนยันความพร้อมของการเลือกตั้ง
การร้องเรียนเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง พบว่ามีเรื่องร้องเรียน 2 เรื่องที่สงขลา ส่วนที่ชุมพรยังไม่มีเรื่องร้องเรียน
ทั้งนี้ คาดว่าทั้ง 2 แห่ง จะมีผู้มาใช้สิทธิไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70
ขอให้ประชาชนมาใช้สิทธิ และขอให้ผู้สมัครปฏิบัติตามกฎหมาย
ขณะที่การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 9 กทม. นั้นจะมีขึ้นในวันที่ 30 มกราคม
สำหรับการหาเสียงการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ทุกเขตครั้งนี้ ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า “สู้กันเดือด”
เดือดตั้งแต่โค้งแรกยันโค้งสุดท้าย
เดือดตั้งแต่ที่ยังไม่เปิดรับสมัครที่พรรคประชาธิปัตย์ถามหา “มารยาททางการเมือง”
เรื่อยมาจนถึงการโจมตีเรื่องอำนาจรัฐที่แทรกแซงการเลือกตั้ง
เช่นเดียวกับพรรคกล้าที่ออกมายอมรับว่าได้ยินข่าวการแจกเงินในเขต กทม.
กระทั่งมีถ้อยคำถ้อยความอันเป็นเหตุที่เกิดการร้องเรียน
ขณะที่แกนนำสำคัญของพรรคการเมือง โดยเฉพาะ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ต่างลงพื้นที่และขึ้นเวทีปราศรัย
ส่งสัญญาณว่ายอมไม่ได้ จนถึงขั้นเกิดวาจาที่กระทบกระทั่งกันขึ้น
ความดุเดือดของการหาเสียงในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 สงขลา และเขต 1 ชุมพร จบลงไปแล้ว
วันที่ 16 มกราคม ถึงกำหนดหย่อนบัตร
หลังจากนี้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะเป็นผู้ตัดสินว่าจะเลือกใคร
การหาเสียงเลือกตั้งและผลการเลือกตั้งครั้งนี้มีความหมาย
สำหรับพรรคการเมือง ผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการวัดศรัทธาที่ประชาชนมีต่อพรรค
แม้ว่าพื้นที่ภาคใต้จะเป็นถิ่นเก่าของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เมื่อมีพรรคพลังประชารัฐซึ่งเคยกวาด ส.ส.ภาคใต้ไปมากเมื่อการเลือกตั้งปี 2562
การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ย่อมทำให้พรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์ได้รับทราบเสียงตอบรับและเสียงตอบปฏิเสธ
ขณะเดียวกัน แกนนำของพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งก็จะได้ทดสอบฝีมือ
พรรคพลังประชารัฐ มอบให้ นายสุชาติ ชมกลิ่น คุมการเลือกตั้งที่เขต 6 สงขลา มอบให้ นายสันติ พร้อมพัฒน์ คุมการเลือกตั้งเขต 1 ชุมพร ส่วนเขต 9 กทม. มอบให้ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ดูแล
พรรคประชาธิปัตย์ เพิ่งมีรองหัวหน้าพรรคภาคใต้คนใหม่ คือ นายกชาย-นายเดชอิศม์ ขาวทอง ซึ่งเป็น ส.ส.เขต 5 พรรคประชาธิปัตย์ และยังเป็นสามีของผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ด้วย
ดังนั้น ผลการเลือกตั้งซ่อมจึงมีความหมายต่อแกนนำทั้ง 2 พรรค
นอกจากพรรคการเมือง และผู้สมัครรับเลือกตั้งแล้ว การเลือกตั้งครั้งนี้ยังท้าทายฝีมือของ กกต.
น่าสังเกตว่า การเลือกตั้งครั้งนี้แม้จะเป็นการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. แต่ดูเหมือนว่าข้อกล่าวหาระหว่างการหาเสียงนั้นรุนแรงเทียบชั้นการเลือกตั้งทั่วไป
ทั้งการกล่าวหาเรื่องการใช้อำนาจรัฐแทรกแซง และการกล่าวหาเรื่องการใช้อำนาจเงิน
แต่ยังไม่ปรากฏท่าทีเชิงรุกในการตรวจสอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ หัวใจของการจัดการการเลือกตั้งคือ “บริสุทธ์” และ “ยุติธรรม” ซึ่งจำเป็นต้องมีหน่วยงานหรือองค์กรที่เข้าไปดำเนินการ
ยิ่ง กกต.มีที่มาไม่เชื่อมโยงกับประชาชน ยิ่งต้องออกมาสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นว่า การเลือกตั้งไม่ว่าสุดท้ายแล้วใครจะได้เป็น ส.ส. ได้ผ่านการรับรองจาก กกต.แล้วว่า ทุกอย่างเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์และยุติธรรม
บทบาทของ กกต.ในการเลือกตั้งครั้งนี้ จึงมีผลไปจนถึงการเลือกตั้งทั่วไป
ผลการเลือกตั้งซ่อมทั้ง 3 เขตเลือกตั้งจึงมีความสำคัญ เพราะผลจากการเลือกตั้งจะสั่นสะเทือนต่อการเมืองหลังจากการเลือกตั้ง
สั่นสะเทือนทั้งระดับพรรค ระดับภาค และระดับชาติ
ระดับพรรคมีผลต่อแกนนำที่รับผิดชอบการเลือกตั้งในแต่ละเขต ระดับภาคย่อมมองเห็นจุดเด่นจุดด้อยของพรรคตัวเองในพื้นที่ ส่วนระดับชาตินั้น แม้เรื่องเหล่านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องมาก
หากแต่ผลการเลือกตั้งซ่อมก็ย่อมส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเมืองในช่วงปี 2565 นี้อย่างแน่นอน
โดยเฉพาะผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 9 กทม. ที่นับวันการต่อสู้ช่วงชิงจะเต็มไปด้วยความดุเดือด
มีทั้งข่าวอำนาจรัฐ มีทั้งข่าวอำนาจเงิน และการเรียกร้องให้ตรวจสอบ
ข่าวเกี่ยวกับอำนาจเงิน และอำนาจรัฐดังกล่าว เร่งเร้าให้ กกต.ต้องออกมาแสดงฝีมือด้วยความหวังว่าจะทำให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์และยุติธรรม
หากผลการปฏิบัติในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต มีข้อบกพร่องจนสังคมหวาดระแวง การเลือกตั้งครั้งใหญ่ย่อมหนีไม่พ้นความยุ่งยาก
นอกจากนี้ ผลการเลือกตั้งยังจะส่งผลไปถึงรัฐบาลด้วย เพราะทุกพรรคมีความเกี่ยวพันกับรัฐบาล
บางพรรคเป็นแกนนำ บางพรรคเป็นพรรคร่วม บางพรรคเป็นฝ่ายค้าน และอีกหลายพรรคแม้จะเป็นพรรคใหม่แต่ก็มีโอกาสเข้าไปนั่งในสภาหากได้รับเลือกตั้ง
แม้ผลการเลือกตั้งจะไม่กระทบต่อเสียงข้างมากเสียงข้างน้อย แต่ผลจากการแข่งขันอย่างดุเดือดระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ย่อมทำให้ 2 พรรคมองหน้ากันไม่สนิทเหมือนเดิม
ดังนั้น ผลการเลือกตั้งซ่อมย่อมสั่นสะเทือนต่อๆ ไปถึงการเมือง
เพียงแต่ขณะนี้ยังไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าใครจะเป็นผู้คว้าชัยในเขตการเลือกตั้งซ่อมต่างๆ
จึงต้องรอผลการเลือกตั้งซ่อม และเฝ้าสดับว่าการเมืองหลังจากนี้จะมีอาฟเตอร์ช็อกหรือไม่
ทุกอย่างยังคงต้องจับตามอง