PEACE พร้อมเทรด วันแรก 10 ก.พ.นี้ มั่นใจเป็นหุ้น Growth

นายประสพศักดิ์ ศิริโสภณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PEACE เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมพร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 ใช้ชื่อย่อ ‘PEACE’ และเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของบริษัทฯ ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้วิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่พร้อมประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน คู่ค้า เพื่อให้ทุก ๆ ส่วนได้รับประโยชน์ที่ดีอย่างที่ควร ซึ่งสิ่งต่างๆ จะช่วยหลอมรวมให้ PEACE สร้างเสริมการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืนได้

ทั้งนี้ หลังจากปิดการเสนอขายหุ้น IPO จำนวนทั้งสิ้น 84 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 20.00 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ ที่ราคาหุ้นละ 3.98 บาท ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนที่ดีเกินกว่าความคาดหมาย ตอกย้ำถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ รวมถึงสร้างโอกาสการเติบโตในอนาคต เชื่อว่าหุ้น PEACE จะเป็นทั้งหุ้นเติบโต (Growth Stock) และหุ้นปันผล (Dividend Stock) อย่างแน่นอน

โดยหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ PEACE วางแผนขยายธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบชั้นนำของไทย ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการอยู่ระหว่างพัฒนา 3 โครงการ มูลค่ารวม 3,045 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดการขายตั้งแต่ไตรมาส 3/65 ประกอบด้วย 1. โครงการ Cherene กรุงเทพกรีฑา – ร่มเกล้า เป็นบ้านเดี่ยว มูลค่าโครงการประมาณ 648 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านเดี่ยว Concept “New-gen Modern” ซึ่งมีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ พร้อม Jogging track และ Bike lane ในสวน ประกอบกับมีทางเข้าติดถนนร่มเกล้า และมีถนน Main runway อันเป็นเอกลักษณ์ 2. โครงการ CHEREA VICINITY ราชพฤกษ์ – เจษฎาบดินทร์ เป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม 2 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 1,845 ล้านบาท และ 3. โครงการ Cher ราชพฤกษ์ – พระราม 5 เป็นทาวน์โฮม 2 – 3 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 552 ล้านบาท ปัจจุบันได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและวางมัดจำค่าซื้อที่ดินแล้ว อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ไม่ได้จำกัดในการพัฒนาโครงการเฉพาะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเพียงอย่างเดียว และหากมีพื้นที่ในจังหวัดอื่นที่ทำเลมีศักยภาพ และมีความต้องการซื้อเพียงพอ พร้อมที่จะปรับกลยุทธ์การดำเนินงานไปยังทำเลที่มีศักยภาพต่อไปได้

นายประสพศักดิ์ กล่าวอีกว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายสร้างผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งภายใน 3 ปีข้างหน้า (2565-2567) คาดมีรายได้ขายเติบโตเป็น 2 เท่าตัว จากฐานรายได้ขายปี 2564 และค่อยๆ เติบโตเพิ่มเป็น 3 เท่าตัว ภายใน 5 ปีข้างหน้า (2565-2569) ถือเป็นการเติบโตตามสภาวะเศรษฐกิจไทยที่ค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และเป็นไปตามแนวโน้มเทรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ภายหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยผู้บริโภคมักการมองหาหรือเลือกที่อยู่อาศัยที่ต้องมาพร้อมความสะดวกสบาย ความปลอดภัยในทุกมิติ ตอบโจทย์การดำเนินชีวิตอย่างครบถ้วน และต้องมีฟังก์ชั่นครอบคลุมการใช้งานในราคาจับต้องได้ (Affordable price) เพื่อให้เหมาะสมกับกำลังซื้อที่มีและป้องกันการเกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image