SVI โชว์ฟอร์มปี64 กำไรพุ่งสูงสุดประวัติการณ์ กว่า 1,400 ล้าน แจกปันผล 0.23 บาท 17 พ.ค.นี้

นายกริช ลี้ถาวร ผู้บริหารด้านการเงิน (Corporate M&A Executive) บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการแบบครบวงจรในการประกอบผลิตภัณฑ์ประเภทวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิคส์สำเร็จรูป ให้แก่ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Original Equipment Manufacturer: OEM) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2564 (ตุลาคม-ธันวาคม) บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,696 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% และทำกำไรสุทธิ 574 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 463% หากเทียบกับไตรมาส 4/2563 ที่มีรายได้รวม 3,698 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 102 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตก้าวกระโดด และช่วยผลักดันผลการดำเนินงานทั้งปี 2564 ของ SVI สูงสุดนับตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งบริษัทฯ โดยทำรายได้รวมสูงถึง 17,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.9% และมีกำไรสุทธิ 1,408 ล้านบาท เติบโตถึง 105% เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานทั้งปี 2563 ที่มีรายได้รวม 15,282 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 686 ล้านบาท

ความสำเร็จของการดำเนินงานครั้งนี้ มาจากแผนยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของ SVI ที่มุ่งขยายตลาดผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ในอุตสาหกรรม 5G เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ส่งสัญญาณความเร็วสูงสำหรับ 5G หรือ Optical transceiver กล้องวงจรปิดที่รองรับเทคโนโลยี AI ป้ายราคาอัจฉริยะ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ยานยนต์อัจฉริยะและขนส่งสาธารณะ เป็นต้น ซึ่งความต้องการในผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีการเติบโตสูงมากในตลาดโลกส่งผลให้ SVI มียอดขายเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน SVI ยังบริหารจัดการด้านต้นทุนและซัพพลายเชนในการจัดซื้อวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงเจรจาปรับราคาสินค้ากับคู่ค้าได้ ทำให้อัตรากำไรสุทธิปี 2564 เพิ่มเป็น 8.1% จากปีก่อนอยู่ที่ 4.5% และมีอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เพิ่มเป็น 0.65 บาท หรือเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปีก่อนอยู่ที่ 0.30 บาทต่อหุ้น

นายกริช กล่าวว่า ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 จึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2564 (มกราคม-ธันวาคม) ในอัตรา 0.23 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น 495 ล้านบาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 6 พฤษภาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 17 พฤษภาคมนี้

นายกริช กล่าวว่า การดำเนินงานปี 2565 บริษัทฯ ตั้งเป้าเติบโตรายได้ 24,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% โดยมีแผนการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพิ่มศักยภาพฐานการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ที่ต้องการให้ฐานการผลิตในกัมพูชาและไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าที่มีวอลุ่มสูงในกลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ ป้อนความต้องการในภาคอุตสาหกรรม 5G รองรับแผนขยายตลาดไปยังประเทศสหรัฐฯ เพิ่มเติม จึงลงทุนเพิ่มพื้นที่ฐานการผลิตที่โรงงานประเทศกัมพูชาเป็น 35,000 ตารางเมตรจากเดิมที่มี 10,000 ตารางเมตร ขณะที่ฐานการผลิตที่ประเทศสโลวาเกีย จะเพิ่มพื้นที่การผลิตเป็น 11,000 ตารางเมตร จากเดิม 6,500 ตารางเมตร รองรับการทำตลาดผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ยานยนต์อัจฉริยะในภาคพื้นยุโรป
ขณะเดียวกัน ยังมุ่งบริหารจัดการด้านต้นทุนและซัพพลายเชนให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อบริหารความเสี่ยงจากการขาดแคลนชิปอิเล็กทรอนิคส์ที่เป็นแรงกดดันอุตสาหกรรมฯ และคาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น หลังจากซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิปอิเล็กทรอนิคส์ลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตและเริ่มทยอยเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์ไปตั้งแต่ปีที่ผ่านมา คาดจะสามารถเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์อย่างเต็มกำลังในครึ่งหลังปี 2565 ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงและเพิ่มความสามารถการทำกำไรที่ดีให้แก่บริษัทฯ

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image