เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผู้ช่วยผบ.ตร.)รองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.)ประสานการปฏิบัติกับ พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 (ผบช.ภ.4) พล.ต.ต.ธรรมศักดิ์ ปิ่นทอง รองผบช.ภ.4 พล.ต.ต.ณัฐนนท์ ประชุม ผบก.สส.ภ.4, พล.ต.ต.นพเก้า โสมนัส ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น, พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จว.อุดรธานี, พล.ต.ต.พุฒิพงศ์ มุสิกุล ผบก.ภ.จว.หนองคาย และ,พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน ผบก.ภ.จว.นครพนม ดำเนินการภายใต้ยุทธการ “สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ หยุดการข่มขู่เอารัดเอาเปรียบประชาชน” ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปิดล้อมตรวจค้นกลุ่มนายทุนเงินกู้นอกระบบที่เอารัดเอาเปรียบประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัด จำนวน 10 จุด ประกอบด้วยในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ,จ.อุดรธานี, จ.หนองคาย และ จ.นครพนม
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เปิดเผยผลการปฏิบัติว่าจับกุมกลุ่มนายทุน 9 เครือข่าย ผู้ต้องหา 34 คน โดยแบ่งเป็น 1.พื้นที่ จ.ขอนแก่น จับกุมกลุ่มนายทุน 4 เครือข่าย ผู้ต้องหา 18 คน 2.พื้นที่ จ.อุดรธานี จับกุมกลุ่มนายทุน 2 เครือข่าย ผู้ต้องหา 9 คน 3.พื้นที่ จ.นครพนม จับกุมกลุ่มนายทุน 1 เครือข่าย ผู้ต้องหา 1 คน และ 4.พื้นที่ จ.หนองคาย จับกุมกลุ่มนายทุน 2 เครือข่าย ผู้ต้องหา 6 คน ตรวจยึดของกลาง 1.รถยนต์จำนวน 4 คัน 2.รถจักรยานยนต์จำนวน 12 คัน 3.โทรศัพท์มือถือจำนวน 21 เครื่อง 4.บัญชีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดจำนวน 17 บัญชี 5.นามบัตรจำนวนกว่า 50,000 ใบ
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่าตามนโยบายของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กำหนดให้ปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของพี่น้องประชาชน เป็นวาระแห่งชาติ จึงสั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันบูรณาการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและดำเนินการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบอย่างจริงจัง ทาง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงจัดตั้งศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.) โดยมี พล.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ
ต่อมา รองผอ.ศปน.ตร. พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รองผบช.ภ.1 เข้าช่วยพูดคุยกับคุณยายอุทัย อายุ 63 ปี ประกอบอาชีพค้าขาย พักอยู่ห้องเช่า อ.เมือง จ.ขอนแก่น ค่าเช่ารายเดือนๆละ 1,200 บาท สามีเสียชีวิตมีบุตรชย อายุ 29 ปี มีอาการป่วยทางจิต โดยคุณยายอุทัยทำขนมสาคู ออกขายในตลาดใกล้เคียงที่พัก หากวันใดพอขายได้ก็จะมีรายได้ วันละประมาณ 100 บ.นำมาพอได้เป็นค่าอาหาร สำหรับตัวคุณยาย กับลูกชายและเก็บไว้สำหรับ จ่ายเป็นค่าเช่าห้องพักในปลายเดือน
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่านอกจากนี้ คุณยายอุทัยไม่มีทรัพย์สินมีค่าอื่นใด ทั้งเหตุที่ต้องมาอยู่ห้องพัก ก็เนื่องจากบ้านตามทะเบียนบ้านถูกน้องชายนำไปจำนองกับนายทุน และถูกยึดไปแล้ว โดยเมื่อวันที่ 8 ก.พ. คุณยายอุทัย ต้องการเงินทุนเห็นนามบัตร “ฉลองเงินทุน” จึงโทรติดต่อตามหมายเลขโทรศัพท์ตามนามบัตรดังกล่าวมีนายเซียน แสดงตัวเป็นตัวแทน พูดคุยติดต่อเพื่อกู้ยืมเงินจนตกลงกู้ยืมเงิน 5,000 บ. เพื่อนำไปลงทุน ทำขนมสาคูขาย โดยนายเซียน ได้ให้คุณยายอุทัยชำระเงินต้นดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย รายวันๆละ 250 บาท จำนวน 25 วัน รวมเป็นเงินจำนวน 6,250 บาท โดยนายเซียน เป็นผู้มาเก็บเงิน ซึ่งคุณยายอุทัย ชำระหนี้รายวันดังกล่าวมาโดยตลอด ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ก.พ. คุณยายอุทัยไม่มีเงินพอชำระดอก จึงจ่ายเงินให้กับนายเซียนไป 100 บาท ซึ่งทำให้ไม่พอใจ พูดข่มขู่จะทำร้าย และวาดภาพหนึ่ง ลงในสมุดบันทึกของคุณยายอุทัย ซึ่งไม่เข้าใจว่าคืออะไร แต่เชื่อว่าเป็นการขู่จะทำอันตรายถ้าไม่ชำระดอกเบี้ย และเงินต้นให้ครบ จากนั้น นายเซียนฯ ก็ยังโทรมาหาทั้งข่มขู่ คุณยายอุทัยอีก จนเกรงว่าจะเกิดอันตราย จึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น นอกจากการกู้ยืม จากนายทุนราย “ฉลองเงินทุน” แล้ว คุณยายอุทัย ยังได้กู้ยืมเงินจาก นายทุน “บัง บอส” และ “ยายดา” โดยทั้งหมดถูกจับกุมดำเนินดดีตามกฎหมายแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานภายหลัง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ พูดคุยกับคุณยายอุทัย เสร็จจึงควักเงินส่วนตัวจำนวนหนึ่งมอบให้คุณยายเพื่อไว้ใช้จ่ายในครอบครัวและต่อทุนค้าขายต่อไป
