
อดีตนางงามยูเครน เล่าเหตุการณ์ “หนีตาย”พร้อมลูกชาย 7 ขวบวันที่รัสเซียโจมตี !!!
เอพี รายงาน เวโรนิกา ดิดูเซนโก เจ้าของมงกุฎนางงามยูเครนปี 2561 เล่าเหตุการณ์หนีตาย ที่เธอและลูกชายวัย 7ขวบ อพยพออกจากกรุงเคียฟ และยูเครน ประเทศบ้านเกิด ในวันแรกที่กองทัพรัสเซีย บุกโจมตียูเครนเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ พร้อมวิงวอนนานาชาติช่วยสนับสนุนอาวุธให้เพื่อนร่วมชาติทั้งชายและหญิง ที่พร้อมจะสู้เพื่อปกป้องประเทศบ้านเกิด
เวโรนิกา เล่าชะตากรรมของเธอและลูกชายในงานแถลงข่าวที่สำนักงานทนายความด้านสิทธิสตรี ของ กลอเรีย อัลเรด ในนครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เมื่อวันอังคารที่ 8 มีนาคม ซึ่งเป็น “วันสตรีสากล ” ว่า เธอและลูกชาย ตกใจตื่นจากเสียงไซเรนการโจมตีทางอากาศ และเสียงระเบิด ขณะที่เธอ ลูกชายและชาวยูเครนอีกหลายพันชีวิตบนท้องถนน ต่างหนีตาย

“ระหว่างหนีไปยังชายแดนยูเครน ไม่มีที่ใดที่ไร้เสียงไซเรน ไม่มีที่ใดที่ไม่มีเสียงระเบิดดัง ” อดีตนางงามยูเครนเล่า โดยมี กลอเรีย อัลเรด ทนายความด้านสิทธิสตรีนั่งอยู่ข้างๆ และว่า รู้จักเป็นเพื่อนกับเวโรนิกามานานหลายเดือน
เวโรนิกา เล่าว่าในที่สุดเธอและลูกชายเดินทางลี้ภัยสงครามเข้าไปในประเทศมอลโดวา และเดินทางผ่านเข้าไปยังกลุ่มประเทศในยุโรป ก่อนจะเดินทางไปถึงนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

อดีตนางงามยูเครนบอกว่า ตอนนี้เธอก็รู้สึก “ใจสลาย”ที่ต้องทิ้งลูกชายไว้ที่สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อเดินทางมาที่สหรัฐอเมริการ่วมแถลงข่าวกับกลอเรีย อัลเรด
เวโรนิกา สวมชุดสีฟ้า และเหลือง ซึ่งเป็นสีธงชาติของยูเครน และว่าเธอและกลอเรีย คิดว่าสถานการณ์ในยูเครนเป็นเรื่องสำคัญที่จะนำมาพูดในวันสตรีสากล “ตอนนี้ มีเด็กชาวยูเครนหลายล้านคนและแม่ของพวกเขาที่ตั่วสั่นทุกครั้งที่ได้ยินเสียง ไม่ว่าเสียงอะไรที่ดังขึ้นในสถานีรถไฟใต้ดิน และที่หลบระเบิด และที่น่าหัวใจสลายยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มีผู้หญิงหลายคนที่ต้องคลอดลูกในสถานการณ์เช่นนี้ตามที่หลบระเบิดต่างๆ ”

อดีตนางงามยูเครน เล่าว่าคำร้องขอวีซ่า ให้ลูกชายเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาถูกปฎิเสธ และเธอจะเดินทางกลับไปที่นครเจนีวาเพื่ออยู่กลับลูกชายในสุดสัปดาห์นี้ ขณะที่กลอเรีย กล่าวหวังว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐอเมริกาจะผ่อนปรนนโยบายการออกวีซ่า เพื่ออนุญาตให้ชาวยูเครนเดินทางมาที่สหรัฐอเมริกามากขึ้น
ท้ายสุด เวโรนิกา กล่าวว่าชาวยูเครนพร้อมจะปกป้องประเทศบ้านเกิด แต่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือมากกว่านี้จากนานาชาติ
“ชาวยูเครนต่างกล้าหาญที่จะปกป้องมาตุภูมิและบ้านของพวกเขา แต่เพื่อจะหยุดการโจมตีที่ไม่มีวันสิ้นสุดจากทางตะวันออกและทางเหนือ พวกเขาจำเป็นต้องมีอาวุธและกระสุน เราจะต่อสู้เพื่อเสรีภาพของพวกเราและของพวกคุณ “