‘ส.ส.ประชาชาติ’ แทงยับ ‘ศักดิ์สยาม’ ละเว้นปฏิบัติหน้าที่-เอื้อประโยชน์พวกพ้อง แฉ มีนายเอนอมินี

แฟ้มภาพ

“ส.ส.ประชาชาติ” แทงยับ “ศักดิ์สยาม” ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่–เอื้อประโยชน์พวกพ้อง แฉ นายเอนอมินี รมว.คมนาคม ถือหุ้นแทน

จากนั้นเวลา 15.42 น. นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาชาติ (ปช.) อภิปรายนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่ากรกระทรวงคมนาคม ว่า นายศักดิ์สยามได้เข้าดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2562 ดังนั้น ตั้งแต่ที่นายศักดิ์สยามเข้ารับตำแหน่งทั้งรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีต้องอยู่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญและประมวลจริยธรรม ซึ่งเมื่อเดือนกันยายน 2564 ตนเคยอภิปรายนายศักดิ์สยามมาแล้วครั้งหนึ่งเกี่ยวกับประเด็นที่ดินเขากระโดง หลังจากที่มีการอภิปรายในครั้งนั้นมาแล้ว ตนได้ติดตามที่ดินเขากระโดง 5,883 ไร่ มีการขยับ ท่านรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นผู้กำกับดูแลการรถไฟ มีการดำเนินการ มีการขยับในกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย อยู่ในกรอบประมวลจริยธรรมหรือไม่เพียงใด ปรากฏว่าหลังจากที่ตนอภิปรายมีการขยับแต่ยังไม่สะเด็ดน้ำ เปรียบเทียบการง้างธนูก็ง้างไม่สุด ถ้ารัฐมนตรีไม่มีส่วนได้เสีย ถ้ารัฐมนตรีและพวกพ้องไม่ได้ครอบครองที่ดินในเขากระโดง ตนก็คงไม่ต้องมาอภิปราย แต่ที่ต้องมาตอกย้ำ เพราะวันนี้รัฐมนตรีและพวกพ้องก็ยังอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ออกไปไหน ยังคงทำธุรกิจ พักอาศัย อยู่ในบริเวณดังกล่าว รวมทั้งท่านยังละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

นายกมลศักดิ์กล่าวต่อว่า ตนขอฝากไปยังนายกรัฐมนตรีว่าครั้งที่แล้วที่ตนอภิปราย นายกรัฐมนตรีไม่ได้อยู่ด้วย หรือครั้งที่พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปช. อภิปรายเกี่ยวกับที่ดินเขากระโดงของการรถไฟจำนวน 5,883 ไร่ นายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้อยู่ด้วยในที่ประชุม วันนี้ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่อยู่ด้วย บางประเด็นตนก็ไม่ทราบว่านายกรัฐมนตรีทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ดินเขากระโดงของการรถไฟอยู่แล้วหรือไม่ ซึ่งตนเชื่อว่าประเด็นที่ตนจะอภิปรายต่อจากนี้บางประเด็นนายกรัฐมนตรีก็ยังไม่ทราบ โดยเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2564 ก่อนมีการอภิปรายการรถไฟมีหนังสือถึงกรมที่ดิน โดยในหนังสือมีเนื้อหาความว่า ให้ทำการเพิกถอนที่ดิน ปรากฏว่าก่อนการอภิปรายครั้งนั้นในวันที่ 27 กรกฎาคม 2564 กรมที่ดินมีหนังสือตอบกลับมาว่า การเพิกถอนที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 61 นั้น กรมที่ดินจะดำเนินการได้ต้องมีรูประหว่างแผนที่ส่งมาให้กับกรมที่ดินพร้อมกับมีคำถามถามไปยังการรถไฟว่า ที่ดิน 2 แปลง 3466 กับ 8456 ซึ่งเป็นภูมิลำเนา 30/2 หมู่ที่ 15 ซึ่งรัฐมนตรีแจ้งต่อสภาฯ​ ว่าอยู่บนที่ดินแปลงนั้น ซึ่งทั้ง 2 แปลงนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาเคยวินิจฉัยว่าเป็นที่การรถไฟ มี 2564 คณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เคยวินิจฉัยว่าให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ สำนักงานอัยการสูงสุดก็มีคำวินิจฉัยให้การรถไฟฟ้องเพิกถอนเอกสารสิทธิ ทั้งนี้ ในวันที่ 27 กรกฎาคม หนังสือกรมที่ดินถามไปยังการรถไฟว่าให้ส่งรูประหว่างแผนที่มาให้ พร้อมกลับให้ตอบคำถามว่าทำไมไม่ฟ้อง ปรากฏว่าที่ดินของการรถไฟ การให้ได้มาซึ่งสิทธิของที่ดินสาธารณะของการรถไฟกลับคืนมาสู่ประเทศชาติ ทำได้หลายอย่างในเคสนี้ ไม่ได้จำเป็นว่าฟ้องทีเดียว

นายกมลศักดิ์กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ที่พันตำรวจเอกทวีอภิปราย ก็มีคำพิพากษาศาลฎีกาฟ้องประชาชนหลายรายและมีบางกรณีที่ข้อเท็จจริงฟังว่าเป็นที่การรถไฟบางส่วน ทั้งนี้ หลังจากที่ตนอภิปรายไปเมื่อเดือนกันยายน 2564 ก็ได้ติดตามตลอดว่าได้มีการขยับอะไรหรือไม่ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ท่านดำเนินการอย่างไรเพื่อไม่ให้ถูกข้อกล่าวหาว่าท่านกำลังปกป้องผลประโยชน์ของพวกพ้อง ปรากฏว่าทางการรถไฟได้ส่งรูปแผนที่ไปยังกรมที่ดิน 2 ครั้ง อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้การรถไฟกับกรมที่ดินเหมือนทะเลาะกัน หน่วยงานรัฐ 2 หน่วยงานโยนกันไปโยนกันมา กรมที่ดินเขาบอกว่าเขาสามารถเพิกถอนสิทธิได้ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 61 นั่นหมายความว่าการรถไฟเจ้าของกรมสิทธิ์ต้องให้ความร่วมมือ ต้องส่งรูประวางแผนที่ ซึ่งการรถไฟก็ส่งไปอยู่ 2 ครั้ง แต่ 2 รูปของการรถไฟส่งไปนั้นมีเนื้อที่ไม่ครบและไม่ตรงกัน กรมที่ดินจึงมีหนังสือ 12 พฤศจิกายน 2564 เมื่อรูประวางไม่ตรงกับกรมที่ดิน ก็ขอให้ รฟท.จัดส่งผู้แทนไม่เกิน 6 คน เข้าเป็นคณะทำงาน 2 ชุด แต่กลับไม่มีการส่งผู้แทนเข้าเป็นคณะกรรมการ แถมยังไปฟ้องกรมที่ดินต่อศาลปกครองเมื่อเดือนธันวาคม 2564 ซึ่งการฟ้องต่อศาลปกครองใช้เวลานาน การที่ท่านฟ้องศาลปกครองโดยไม่ส่งคณะกรรมการ 2 ชุด ส่อเจตนาว่าท่านกำลังปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง และพวกพ้องให้นานที่สุดโดยอาศัยช่องว่างของกฎหมาย แต่ท่านอย่าลืมว่ามีประมวลจริยธรรมคุ้มครองอยู่

นายกมลศักดิ์กล่าวต่อว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 3466 และ 3564 อัยการบอกให้เพิกถอนท่านก็ไม่ดำเนินการ จนทุกวันนี้ท่านก็ยังคงใช้ภูมิลำเนาอยู่ที่นั่น และเป็นที่ตั้งของ หจก.อีกหลายบริษัทในบริเวณนี้ ถ้าตรวจสอบที่กรมการค้า กระทรวงพาณิชย์ จะพบว่าบริษัทต่างๆเกี่ยวข้องกับท่านทั้งนั้น โดยเฉพาะบริษัท ศ. ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน 3466 ก็ตั้งอยู่ที่นั้น รวมถึง หจก. บ. จากการตรวจสอบพบว่า บริษัท ศ. บริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย 4.7 ล้านบาท ส่วน หจก. บ. บริจาค 4.8 ล้านบาท นี่คือความเกี่ยวโยงกันระหว่างรัฐมนตรีกับพวกพ้อง เพราะเช่นนี้หรือไม่ ท่านจึงไม่ดำเนินการเพิกถอน อีกคดีที่น่าสนใจคือคดีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าที่ดินของนายเอ จำเลยในคดีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาปี 2561 แต่สังเกตว่าทำไมไม่มีการบังคับคดี พอไปตรวจสอบข้อมูลยิ่งเห็นชัดว่านายเอ มีความสัมพันธ์กับรัฐมนตรี สะท้อนให้เห็นว่ารัฐมนตรีจึงไม่ดำเนินการใดๆกับที่ดินแปลงนี้ ในการฟ้องขับไล่แตกต่างจากคดีอื่นๆ ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับรัฐมนตรี คดีของนายเอที่ศาลฎีกามีคำพิพากษา ตั้งแต่ปี 2561 รัฐมนตรีมารับตำแหน่งปี 2562 จนถึงปีนี้ 2565 เพิ่งจะตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อเดือนมิถุนายน 2565 ก่อนการอภิปรายจึงเหมือนแค่ขยับให้เห็น

“นายเอ สมัยปี 2561 ก่อนที่นายศักดิ์สยามจะมาเป็นรัฐมนตรี เคยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของหจก. บ. ใช้ที่อยู่ที่เดียวกันกับรัฐมนตรีในปัจจุบัน ปรากฎว่าวันที่ 26 มกราคม 2561 รัฐมนตรีถอนหุ้น ก่อนโอนหุ้นทั้งหมด 119 ล้านบาท ให้กับนายเอ และให้นายเอเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ปัจจุบันหจก.นี้ก็ยังอยู่ที่นี่ แสดงให้เห็นว่ารัฐมนตรีกับจำเลยในคดีที่ รฟท.ต้องขยับเป็นพวกเดียวกัน นอกจากนี้ นายเอยังบริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย 2.7 ล้านบาท และ หจก. บ. โอนหุ้นไปให้ บริจาคเงินให้พรรคท่านอีก 4.8 ล้านบาท มาถือว่าเป็นพวกเดียวกันจะให้เข้าใจว่าอย่างไร อีกทั้งตามบัญชีงบดุลปี 60 บริษัท ศ. ได้ยืมเงินจากนายเอ 120 ล้านบาท ปี 2561 ยืมอีก 221 ล้านบาท ต่อมาปี 2562 บริษัท ศ. ยังกู้ยืมเงินจากนายเอ 143 ล้านบาท ปี 63 ยืมอีก 152 ล้านบาท ผมไม่ได้พูดลอยๆแต่มีเอกสารงบดุลของบริษัท ศ.” นายกมลศักดิ์กล่าว

ADVERTISMENT

นายกมลศักดิ์กล่าวต่อว่า นายเอคนนี้ตนไปตรวจสอบมาแล้ว ปรากฎว่าก่อนที่รัฐมนตรีจะออกจากหจก. บ. นายเอ มีหลักฐานเพียงว่าเป็นพนักงานของ บริษัท ศ. เท่านั้น เดิมทีเป็นแค่พนักงาน แต่ไม่ทราบว่าร่ำรวยมาจากไหนถึงมีเงินให้บริษัท ศ. ซึ่งกรรมการผู้จัดการคือ นาย อ. นามสกุลเดียวกับรัฐมนตรี สิ่งเหลานี้ตนจึงไม่อยากมองเป็นอย่างอื่น รมว.คมนาคม ที่มีหน้าที่กำกับดูแล รฟท. ต้องทวงสิทธิ์เอาที่ดินของ รฟท.คืนโดยเร็ว แต่ทำไมท่านไม่เลือกวิธีที่เร็วที่สุด คือให้กรมที่ดินเพิกถอน แต่กลับใช้วิธีที่ยืดเยื้อที่สุด ซึ่งนายกฯ ปล่อยปละละเลยให้หน่วยงานของรัฐฟ้องร้องค่าเสียหายกันเอง ดังนั้น ขอให้ท่านเลิกใช้แทคติค แต่ขอให้ความจริงใจกับทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน โดยท่านต้องแสดงสปิริตให้คนทั้งประเทศได้รับรู้ว่าท่านก็อยู่ในมาตรฐานจริยธรรม ท่านต้องรีบเอาทรัพย์สมบัติของแผ่นดินคืน ปล่อยไว้แบบนี้ยิ่งกว่าที่ท่านเคยกล่าวหาพี่น้องใน 3 จังหวัดว่าต้องการแบ่งแยกดินแดง นี่คือการเอาแผ่นดินของประเทศมาเป็นของตัวเองโดยใช้กฎหมายอย่างแยบยล นายกฯในฐานะผู้นำรัฐบาลจะอ้างว่าไม่เกี่ยวไม่ได้ ทั้งหมดนี้ตนมองได้อย่างเดียวว่า ท่านละเว้นการปฏิบัติหน้าที่รักษาผลประโยชน์พวกพ้องตัวเองมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ จึงไม่อาจไว้วางใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายกรัฐมนตรีให้บริหารราชการแผ่นดินอีกต่อไป