กรุงเทพฯ 29 พฤศจิกายน 2565 – อาร์เธอร์ ดี. ลิตเติล (ADL) ได้เปิดเผยรายงานที่ทำการวิเคราะห์ตลาดยานยนต์ปัจจุบันในประเทศไทย จากดัชนีชี้วัดความพร้อมด้านการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าทั่วโลก (Global Electric Mobility Readiness Index : GEMRIX) ของ ADL ประจำปี 2565 โดยมุ่งเน้นที่ตลาดไทย ซึ่งได้รับการจัดประเภทให้เป็นตลาด EV เกิดใหม่ (Emerging EV Market) เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งได้คะแนนระหว่าง 40 – 60 คะแนน ทั้งนี้ เห็นศักยภาพมหาศาลสำหรับตลาด EV ในประเทศไทย ด้วยการผลักดันอย่างแข็งขันจากภาครัฐ ผู้เล่นที่มีอยู่จำนวนมากในอีโคซิสเต็ม EV และความมุ่งมั่นของไทยในการทำให้เทรนด์ระบบไฟฟ้าเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง แต่จากสถานการณ์ในตลาดปัจจุบันและความเคลื่อนไหวที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ADL เชื่อว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ประเทศไทยจะพลาดเป้าการขายยานยนต์ EV ที่ตั้งไว้ 1.123 ล้านคันภายในปี 2573 โดยยอดขาย EV ในไทยคาดว่าจะเพิ่มจาก 1,572 คันในปี 2563 เป็นราว 831,161 คันในปี 2573 สูงขึ้น 529 เท่า แบ่งเป็น 61,000 คันสำหรับรถยนต์และรถกระบะ 763,000 คันสำหรับรถไฟฟ้า 2 ล้อ และ 7,000 คันสำหรับรถบัสและรถบรรทุก และคาดการณ์ว่าไทยจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับรถ 2 ล้อ แต่จะไม่บรรลุเป้าหมายสำหรับรถยนต์ รถกระบะ รถบัส และรถบรรทุก ทั้งนี้ไทยจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านสู่ EV ได้ ต้องสร้าง
อุปสงค์และการพัฒนาอุปทาน
ดร.อันเดรียส ชลอสเซอร์ พาร์ทเนอร์และประธานบริหารกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก กล่าวว่า ดัชนีชี้วัดความพร้อมด้านการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าทั่วโลก GEMRIX) ของ ADL ออกแบบมาเพื่อเปรียบเทียบเงื่อนไขตลาดของยานยนต์ EV และยานยนต์สันดาป ซึ่งรายงานดังกล่าวทำการวิเคราะห์ประเทศทั้งสิ้น 15 ประเทศ โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพิ่มสูงมากขึ้นทั่วโลก และประเทศไทยอยู่อันดับที่ 9 ในด้านความพร้อมของตลาดสำหรับการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า
“ประเทศไทยได้ประกาศแผนที่มุ่งมั่นในการคว้าส่วนแบ่งตลาด EV ที่เพิ่งเริ่มต้นแต่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนการวางจุดยืนในอุตสาหกรรมยานยนต์ พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการลดการปล่อยมลภาวะทางอากาศอีกด้วย แต่แม้ว่ารัฐบาลไทยจะออกมาตรการกระตุ้นและการออกกฎระเบียบเพื่อสนับสนุนการเติบโตของตลาด แต่อัตราการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในไทยยังถือว่าต่ำอยู่”
ทั้งนี้ รายงานของ อาร์เธอร์ ดี. ลิตเติล ชี้ถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญ ซึ่งเป็นความท้าทายหลักของไทย มี 5 ประการในการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่รัฐบาลไทยต้องดำเนินการเพื่อพลิกโฉมสู่การใช้เครื่องยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างรวดเร็วสำหรับวงการยานยนต์ ได้แก่ 1.การเปลี่ยนผ่านที่เป็นไปได้ของไทยในการใช้พลังงานหลายรูปแบบและการเปลี่ยนฐานของซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนยานยนต์ 2.ความสามารถในการแข่งขันในซัพพลายเชนของแบตเตอรี่ 3.การผลักดันเชิงกลยุทธ์ของไทยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จ 4.ความตระหนักรู้ของลูกค้าไทยเกี่ยวกับความเป็นกลางทางคาร์บอนและ EV และ5.ศักยภาพของ EV ไทยในตลาดส่งออก
“ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคที่มีศักยภาพสูงในการผลิตยานยนต์ อาทิ อินโดนีเซีย สามารถเข้าถึงทรัพยากรหลักอย่างนิกเกล ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในแบตเตอรี่ลิเธียม นอกจากนี้ ศักยภาพในการส่งออกของไทยในฐานะศูนย์กลางหรือฮับการผลิตยานยนต์ก็อาจต้องเจอความท้าทาย เนื่องจากตลาดส่งออกที่มีอยู่ เริ่มเปลี่ยนไปใช้ EV จาก OEM และแบรนด์ท้องถิ่นในประเทศของตนเอง”
นายฮิโรทากะ อุชิตะ ประธานบริหารและผู้อำนวยการ ประจำอาร์เธอร์ ดี. ลิตเติล ประเทศไทย กล่าวว่า การพัฒนาอุตสาหกรรม EV มีความสำคัญต่อประเทศไทยอย่างมาก หากประเทศต้องการรักษาตำแหน่ง “ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์แห่งเอเชีย” เอาไว้และดึงเม็ดเงินการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ เนื่องจากปัจจุบันทั่วโลกกำลังให้ความสนใจเทรนด์การลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ซึ่งขับเคลื่อนโดยเป้าหมายในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการผลิต EV ของตลาดทั่วโลกที่มาแข่งขันกับประเทศตลาดเกิดใหม่ (เช่น ประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน อเมริกาเหนือ และตะวันออกกลาง) โดย ADL ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการระดับโลก ได้จัดทำข้อมูลเกี่ยวกับอันดับความพร้อมในปัจจุบันของอุตสาหกรรม EV เปรียบเทียบตลาดยานยนต์ที่สำคัญทั่วโลก ผ่านดัชนีชี้วัดความพร้อมด้านการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าทั่วโลก (Global Electric Mobility Readiness Index – GEMRIX) เพื่อให้ข้อมูลและให้คำปรึกษาลูกค้าให้พร้อมเปิดรับโอกาสการเติบโตใหม่ๆ ท่ามกลางอีโคซิสเต็มของธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
นายอัคเชย์ ปราสาด ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายอุตสาหกรรมยานยนต์และการผลิต อาร์เธอร์ ดี. ลิตเติล ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า วิวัฒนาการของอุตสาหกรรม EV ไทยจะขึ้นอยู่กับผู้เล่นในอีโคซิสเต็ม เนื่องจากฐานความต้องการในไทยยังมีจำกัดและเงื่อนไขในฝั่งของอุปทานก็ยังไม่น่าพึงพอใจ ด้วยเหตุนี้ ผู้เล่นในอุตสาหกรรมต้องร่วมมือกันทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) นอกจากนี้ เทรนด์ระบบไฟฟ้าในไทยสร้างโอกาสให้ผู้เล่นท้องถิ่นและสตาร์ตอัพสามารถก่อตั้งแบรนด์ EV ของตนเอง ซึ่งอาจเป็นการพลิกเกมในวงการยานยนต์ไทยในอนาคต ซึ่งจวบจนปัจจุบัน ยังต้องพึ่งพาแบรนด์และผู้เล่นจากต่างประเทศอยู่