พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผบช.น. กล่าวกรณีชายขับรถเบนท์ลีย์ชนรถปาเจโรบนทางด่วน แล้วรถปาเจโรไปกระแทกกับรถดับเพลิงที่กำลังจะไปช่วยระงับเหตุเพลิงไหม้ ซึ่งหลังเกิดเหตุ โชเฟอร์เบนท์ลีย์ พาหญิงสาวเดินลงจากทางด่วน เรียกแท็กซี่เพื่อจะออกจากที่เกิดเหตุ แต่เจ้าหน้าที่กู้ภัยตามมาเจอและคุมตัวไป สน.ทางด่วน 1 แต่คนขับก็ยังไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์ จนตำรวจต้องส่งไปตรวจเลือด ทำให้ผู้เสียหายคลางแคลงใจว่า จะส่งผลกระทบต่อข้อหาเมาแล้วขับหรือไม่ และผลตรวจเลือดอย่างเป็นทางการกว่าจะออกก็ประมาณวันที่ 1 กุมภาพันนี้นั้น ว่า พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหากับคนขับรถหรู ในข้อหา ขับรถเฉี่ยวชนผู้อื่นจนได้รับความเสียหายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ส่วนการแจ้งข้อหาเพิ่มเติม พนักงานสอบสวนรอผลการตรวจวัดแอลกอฮอล์และสารเสพติดจากโรงพยาบาลตำรวจ การตรวจพิสูจน์ของกองพิสูจน์หลักฐานในเรื่องของการใช้ความเร็ว หากพบมีความผิดก็จะแจ้งข้อหาเพิ่มเติมทันที ซึ่งทางผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กำชับให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหาย
ส่วนประเด็นที่ส่งตัวผู้ก่อเหตุไปตรวจเลือดแทนการเป่าแอลกอฮอล์นั้น เนื่องจากผู้ก่อเหตุได้รับบาดเจ็บถูกของแข็งกระแทกหน้าอก ซึ่งพนักงานสอบสวนพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ก่อเหตุบาดเจ็บอาจทำให้แรงลมจากการเป่าไม่แรงพอ ทำให้เครื่องวัดทำงานไม่เสถียร รวมทั้งผู้ก่อเหตุยินยอมจะให้ตรวจเลือด ซึ่งจะยืนยันผลได้ชัดเจน พนักงานสอบสวนมองว่า เกิดความเสียหายค่อนข้างมาก ดังนั้นการตรวจเลือดและยืนยันผลจากแพทย์ น่าจะมีความแม่นยำในการดำเนินคดีในชั้นศาลได้อย่างชัดเจนมากกว่า พร้อมยืนยันว่า ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ชัดเจนและโปร่งใส ตรวจสอบได้
ส่วนประเด็นที่ผู้เสียหายกังวลว่า การเว้นระยะเวลานานจะทำให้มีผลต่อการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์หรือไม่นั้น พล.ต.ต.จิรสันต์ กล่าวว่า หลังเกิดเหตุใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษเท่านั้น ในการส่งตัวไปตรวจเลือด ส่วนรายละเอียดว่าเจาะตรวจเลือดในเวลากี่โมงนั้น ต้องสอบถามไปยังโรงพยาบาลตำรวจอีกครั้ง คาดว่าจะทราบข้อมูลภายในวันที่ 10 มกราคม แต่ยืนยันว่า การตรวจแอลกอฮอล์จากเลือด จะแสดงผลยาวนานกว่าตรวจจากลมหายใจ
พล.ต.ต.จิรสันต์กล่าวว่า ผู้ก่อเหตุยินยอมให้ตรวจแอลกอฮอล์ ซึ่งจะแตกต่างจากกรณีผู้ขับขี่ที่เมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุแล้วไม่ยอมตรวจแอลกอฮอล์ ซึ่งตามกฎหมายถือว่าเมาแล้วขับ ส่วนกรณีผู้ก่อเหตุจะขึ้นแท็กซี่หนี ให้กองบังคับการตำรวจจราจรตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว เพื่อคลี่คลายข้อสงสัยของสังคม แต่ถ้าพบว่าเฉี่ยวชนแล้วหลบหนีจริง ก็จะมีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งต้องตรวจสอบในรายละเอียดข้อเท็จจริงอีกครั้ง