ว่ากันด้วยเรื่องทรงผมนักเรียน จากการที่ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามในระเบียบของกระทรวงตั้งแต่วันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา ยกเลิกระเบียบเก่าของ พ.ศ.2563 แล้วออกแนวปฏิบัติแบบกว้างๆ ให้โรงเรียนทั้งในสังกัดและในกำกับดูแลแต่ละแห่งไปกำหนดทรงผมนักเรียนชายและหญิงกันเอาเอง
ถ้าเทียบกับกฎกระทรวง ศธ.ฉบับที่ 1 พ.ศ.2515 กับปัจจุบัน หรือครึ่งศตวรรษพอดี นับว่ามาไกลพอสมควร มีการปลดล็อกทรงผมนักเรียนให้ผ่อนคลายมากขึ้นอีกไม่ว่าอยากจะไว้ทรงผม “สั้น” หรือ “ยาว”
เป็นการให้ความสำคัญเรื่องของสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลและเข้าใจโลกในยุคปัจจุบัน โดยโรงเรียนยังมีระเบียบที่จะไม่ให้เกิดความวุ่นวาย เพราะ “โรงเรียน” ก็เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน เป็นสถานที่อบรมดูแลบุตรหลานและรับผิดชอบ หากทำอะไรที่ดูค้านสายตาและความรู้สึก ย่อมต้องถูกตรวจสอบ แต่ถ้าทำดีก็จะได้รับการปกป้องและยกย่องเช่นกัน
ไม่อย่างงั้นคงไม่เห็นข่าวหลายเหตุการณ์ ผู้ปกครองและนักเรียนรวมตัวกันประท้วงผู้บริหารโรงเรียนหรือครูอาจารย์ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ให้พ้นไปจากโรงเรียน กรณีที่อาจโดนกลั่นแกล้ง ก็สามารถต่อสู้ด้วยหลักฐาน หรือจะเป็นข่าวที่ครูน้อยเสียสละเงินส่วนตัวไปซื้อเสื้อผ้า รองเท้า ให้ลูกศิษย์ได้ใส่มาเรียน เป็นต้น
เมื่อกล่าวถึงระเบียบของกระทรวงด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 ที่ได้ยกเลิกไป ทั้งที่มีการผ่อนคลายแล้ว นักเรียนชายจะไว้ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้ กรณีไว้ผมยาว ด้านข้างกับด้านหลังต้องยาวไม่เลยตีนผม ด้านหน้าและกลางศีรษะให้เป็นไปตามความเหมาะสมและมีความเรียบร้อย ส่วนนักเรียนหญิงจะไว้ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้ กรณีไว้ผมยาวให้เป็นไปตามความเหมาะสมและรวบให้เรียบร้อย แต่มีข้อห้ามที่โรงเรียนไม่น่าจะรับได้ หากมีการดัดผม หรือย้อมสีผมให้ผิดจากเดิม แม้แต่ไว้หนวดเครารุงรังก็ไม่สมควร
ทุกอักษรของกฎกระทรวง พ.ศ.2563 นั้นชัดเจน แต่อาจจะพบช่องโหว่ หลังมีการนำไปปฏิบัติจริงของแต่ละโรงเรียนไม่สามารถทำให้เป็นมาตรฐานใกล้เคียงกันได้ ตลอดที่ผ่านมาโรงเรียนมีแบบแผนของกฎกระทรวงและกฎเกณฑ์ที่วางไว้มานานจนเป็นประเพณีที่นักเรียนควรจะอยู่ในระเบียบเมื่อตัดสินใจมาเรียนที่นี่ เมื่อมีกฎใหม่ ทางผู้บริหารโรงเรียนก็พยายามทำระเบียบให้เกิดความยืดหยุ่นมากขึ้น
รัฐมนตรี ตรีนุช ลงนามคำสั่งยกเลิกระเบียบฉบับดังกล่าว แล้วปล่อยให้โรงเรียนจัดการกันไปตามบริบทของตัวเอง มองในมุมดี เป็นการตอบโจทย์สังคมมากขึ้น เข้าใจถึงบริบท พื้นเพแต่ละแห่งที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น การพูดคุยระหว่างโรงเรียนกับผู้ปกครองและนักเรียนหลังจากนี้น่าจะลงตัวมากขึ้น ไปถกเถียงกันให้จบแต่ต้น เช่น หากนักเรียนยังฝ่าฝืนระเบียบที่ตกลงกันแล้วจะทำอย่างไรต่อ จะตัดคะแนนความประพฤติ หรือใช้วิธีการอื่นที่เหมาะสม
ระเบียบของกระทรวงที่แก้ไขใหม่ก็ต้องรอดูกันว่า วิธีการนี้จะช่วยทำให้นักเรียนและทางโรงเรียนอยู่ร่วมกันได้แค่ไหน ในเมื่อเด็กอ้างชัดเจนว่าทรงผมไม่เกี่ยวข้องกับผลการเรียน แต่ได้ความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกได้ โดยไม่ฉีกกรอบกติกากันเกินไป ดังที่ครูหลายคนกังวลว่าจะเห็นเด็กไว้ทรงผมยาวเกินไป หรือไปย้อมสีผม เป็นต้น
ขณะที่เด็กนักเรียนเมื่อเริ่มเจริญวัยเติบโตเข้าสู่วัยรุ่น อารมณ์และจิตใจ ทั้งฮอร์โมนในร่างกาย ย่อมอยากจะดูแลตัวเองให้ดีขึ้นเสมอ ทั้งเรื่องรสนิยมส่วนตัว และสามารถดูแลการแต่งกายของตัวเองได้แล้ว เพื่อสร้างความมั่นใจ เด็กที่โตแล้วก็ไม่อยากไว้ทรงผมสั้นติดหนังหัว หรือนักเรียนหญิงไว้ผมยาวเสมอติ่งหูไปตลอด อาจจะดูดีเป็นระเบียบในสายตาครู แต่ไม่เป็นที่พึงพอใจของตัวนักเรียนที่เชื่อว่าการไว้ผมยาวได้มากขึ้นหรือจัดแต่งทรงผมก็ทำให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้อย่างสมวัย สามารถเป็นนักเรียนแบบอย่างให้รุ่นน้อง โดยยังคงตั้งเรียนหนังสือและสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนได้เหมือนกันหรืออาจะดีกว่าด้วยซ้ำ ทั้งสายทางวิชาการ หรือการกีฬา เป็นต้น
รัฐบาลชุดปัจจุบันกำลังจะหมดวาระ คงต้องดูรัฐบาลหน้า รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการจะมีนโยบายสานต่ออย่างไร หรือแก้กฎกระทรวงให้ผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิม โดยยังดำรงไว้ซึ่งโรงเรียนเป็นแหล่งศึกษาให้ความรู้ สร้างพื้นฐานอนาคตให้เด็กนักเรียนได้มีเส้นทางที่ก้าวหน้าต่อไป