ผู้เขียน | เสถียร จันทิมาธร |
---|
วิถีแห่งกลยุทธ์ พ่อค้า เสียนเกา แสดงบท ‘จารชน’ พลิก สถานการณ์
อนุสาสน์ของซุนวูทรงความหมายอยู่เสมอ ไม่ว่าจะพิจารณาด้านลึก ไม่ว่าจะพิจารณาด้านกว้าง
ขอให้อ่านสำนวนแปล อธิคม สวัสดิญาณ
การระดมกำลังทหารนับแสนไปรบในแดนไกลนับพันลี้ ราษฎรต้องแบกรับภาษีส่วยสาอากร
และรัฐก็ต้องมีงบประมาณใช้จ่ายวันละนับพันตำลึงทอง
ทั้งบ้านเมืองก็วุ่นวาย ขาดเสถียรภาพ ราษฎรจะถูกเกณฑ์แรงงานให้มาเหนื่อยล้ากับการลำเลียงเสบียงอาหารให้กองทัพจนไม่สามารถทำไร่ไถนาหากินได้ตามปกติ
มากถึง 700,000 ครัวเรือน
การที่คู่สงครามทั้งสองฝ่ายรบพุ่งกันมานานหลายปีก็เพื่อให้ชนะขั้นแตกหักในวันเดียวเท่านั้น
หากตระหนี่ถี่เหนียวในเรื่องเงินทองและยศตำแหน่ง
ไม่ยอมใช้สิ่งเหล่านี้มาซื้อตัวจารชนจนทำให้การข่าวไม่ดี ไม่สามารถล่วงรู้สภาพของข้าศึก
จนส่งผลให้พ่ายแพ้
นับว่าขาดการุณยธรรมต่อราษฎรอย่างยิ่งทีเดียว คนเช่นนี้ไม่สมควรได้เป็นแม่ทัพของกองทัพ ไม่ใช่ผู้แบ่งภาระในบ้านเมือง และไม่ใช่ขุนทหารผู้กำชัยชนะไว้แต่ผู้เดียว
การที่พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระอัจฉริยะ และแม่ทัพนายกองผู้ทรงปัญญาปราดเปรื่อง
สามารถรบชนะได้ทุกครั้งที่นำทัพออกศึก
และประสบผลสำเร็จได้ยอดเยี่ยมเหนือคนทั่วไปก็เพราะล่วงรู้สภาพข้าศึกนั่นเอง การจะล่วงรู้เข้าใจสภาพข้าศึกนั้นไม่อาจใช้วิธีสวดวิงวอนผีสางเทวดา
ไม่อาจคาดสถานการณ์จากเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันในอดีต
และไม่อาจใช้วิธีการทำนายจากการโคจรของดวงดาว
แต่จะต้องขึ้นอยู่ที่คน นั่นคือ ต้องรู้จากปากของคนที่รู้สภาพข้าศึกเป็นอย่างดี
เ ป็นสถานการณ์ในยุคชุนชิว 722-481 ปีก่อนคริสตกาล เป็นปีที่ 22 แห่งรัชกาล พระเจ้าโจวเซียนหวัง
เป็นห้วงเวลาที่ฉินกับจิ้นร่วมมือทางทหาร
เริ่มจากฉินอ๋องส่ง 3 ขุนพลอันประกอบด้วย ม่งหมิง ซีฉี ไป๋ฉี นำทัพอย่างลับๆ มุ่งสู่แคว้นเจิ้ง
เป้าหมายก็เพื่อยึดครอง
ทุกอย่างเป็นไปดังที่โบราณได้เคยเตือน “จะไม่ให้ใครรู้ นอกจากตัวอย่ากระทำ”
พลันที่ลงมือ
พลันที่เคลื่อนทัพก็มีคนรู้
หนังสือ “14 ยอดขุนพลในพงศาวดารจีน” จากการแปลและเรียบเรียงของ วัชระ ชีวะโกเศรษฐ ระบุ
เป็นเวลาที่ “เสียนเกา” ต้อนวัวหลายร้อยตัวไปขายต่างแคว้น
ถึงเมืองหลีหยางได้พบ เจี่ยนเทา สหายเก่า เป็นพ่อค้าชาวฉิน เสียนเกาถามว่า
“ทางแคว้นฉินมีข่าวอะไรบ้าง”
“ฉินอ๋องกำลังเคลื่อนทัพเพื่อตีแคว้นเจิ้ง”
ได้ยินดังนั้นเสียนเกาก็ตกใจ คิดว่า “แคว้นเจิ้งของเรามิได้เตรียมพร้อมอะไรเลย คงต้องเสียท่าแน่”
จึงนำความแจ้งไปทางแคว้นเจิ้ง
จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์อย่างภูมิฐาน นั่งรถเล็กคันงาม คัดวัวอ้วนพี 20 ตัวมุ่งไปยังทัพของแคว้นฉิน
บทบาทของเสียนเกาน่าสนใจ
เ มื่อพบกองระวังหน้าทัพฉินที่เอี๋ยนจิน เสียนเกาเข้าไปขวางกล่าวขึ้นว่า ขอท่านได้โปรดรายงานต่อนายท่านว่า
“ทูตพิเศษแคว้นเจิ้งมาขอพบ”
ขุนพลม่งหมิงเมื่อทราบว่าทูตแคว้นเจิ้งมาขอพบก็ตกใจ คิดในใจ “เราแอบยกทัพอย่างเงียบๆ พวกมันล่วงรู้ได้อย่างไร”
จึงอนุญาตให้ทูตแคว้นเจิ้งพบ
เสียนเกากล่าวทันทีว่า “ทางเจิ้งทราบว่าท่านนำทัพมาจึงมอบหมายข้าพเจ้าต้อนฝูงวัวมากำนัล”
“ทำไมจึงไม่มีสาส์นตราตั้ง” เป็นคำถาม
“ทางเจิ้งได้รับรายงานว่าทัพของท่านเดินทัพทั้งกลางวันกลางคืน จึงเตรียมตัวไม่ทัน จึงส่งข้าพเจ้ามาถามว่าการมาครั้งนี้มีความประสงค์ใด ส่วนสาส์นจะตามมาภายหลัง”
แม้ยังไม่แจ่มชัด แต่ทัพฉินก็ต้องหยุด
บทบาทของเสียนเกาถือได้ว่าเป็นการตัดสินใจโดยตน อาศัยความไม่กระจ่างมาเป็นเครื่องมือ
ขณะเดียวกัน ก็มาพร้อมกับของกำนัล
ความไม่กระจ่างในที่นี้ไม่เพียงแต่จะบังเกิดในขุนพลของทัพฉินเท่านั้น หากแม้แต่ทางด้านแคว้นเจิ้ง
ก็ไม่แตกต่าง
เมื่อทางแคว้นเจิ้งได้รับจดหมายของเสียนเกา ในเบื้องต้นก็มีความสงสัยต่อภายหลังเมื่อสืบทราบว่าเป็นจริง
ก็เกิดความตระหนก ตกใจ
ตกใจอยู่ได้ไม่นานก็จำเป็นต้องตระเตรียมจัดกำลังป้องกัน เตรียมพร้อมสู้ศึก จากนั้นก็ส่งสาส์น
เป็นสาส์นตราตั้งส่งให้ทัพฉิน
ถึงจะเป็นการเตรียมการอย่างฉุกละหุก แต่ก็เป็นการเตรียมก่อนทัพฉินจะบุกเข้าประชิด
จึงก่อผลสะเทือน
ห ากอ่านหนังสือ “บุคคลเรืองนามในพงศาวดาจีน” จากการแปลและเรียบเรียงของ ม. อึ้งอรุณ
ก็ได้คำตอบ
ขุนพลเมิ่นหมิงฟังการพูดจาพาทีของเสียนเกาสมเหตุสมผลดี อีกทั้งเสียนเกามิได้แสดงพิรุธให้ปรากฏ
จึงได้รับของกำนัลจากเสียนเกาไว้
พร้อมทั้งกล่าวต่อเสียนเกาว่า “ต้องขอบพระคุณในน้ำใจท่านต่อท่านอ๋องแห่งแคว้นเจิ้งเป็นอย่างยิ่งที่ได้ส่งท่านมาปลอบขวัญพวกเรา
แต่ว่าขณะนี้จุดหมายของพวกเราคือแคว้นหว่า”
ห ากมองจากบรรทัดฐานของซุนวูที่แยกจารชนออกเป็น 1 จารชนชาวพื้นเมือง 1 จารชนไส้ศึก 1 จารชนสองหน้า 1 จารชนที่ยอมพลีชีพ 1 จารชนธรรมดา
อาจจัดได้ว่าเป็น “จารชนธรรมดา”
ไม่เพียงเพราะมิได้อยู่ในทำเนียบจารชนอย่างแท้จริง หากแต่อาศัยความเป็นคนธรรมดาประสานกับอาชีพพ่อค้า
สวมรอยเข้าไปแสดงตน
แสดงตนกระทั่งพลิกสถานการณ์จากที่จะอยู่ในสภาพ “ตั้งรับ” ให้กลับกลายเป็นสภาพ “รุก”
ก่อความเปลี่ยนแปลงใน “แนวรบ”
เสถียร จันทิมาธร