ข้อเขียนของ เจเนท เอ็ม. แจคสัน ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยา จาก กรินเนลล์ คอลเลจ ในเมืองกรินเนลล์ รัฐไอโอวา สหรัฐอเมริกา ที่ปรากฏใน The Conversation เมื่อต้นเดือนเมษายนนี้ ทำให้ผมได้ตระหนักว่า คุณค่าของการหัวเราะมีมากกว่าที่เคยคิดเอาไว้มาก
ศาสตราจารย์แจคสันบอกไว้เช่นกันว่า ในเวลานี้มีบรรดานักวิชาการ นักวิจัยเป็นจำนวนมากที่หันมาชื่นชม ยกย่องการหัวเราะว่ามีพลัง มีอานุภาพในการเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจของคนเรา และด้วยเหตุที่ว่า คนเราน้อยครั้งที่จะหัวเราะคนเดียว หรือหัวเราะเมื่ออยู่ตามลำพัง การหัวเราะจึงมีพลังในการส่งเสริมการเข้าสังคม ก่อให้เกิดความใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้คนแวดล้อมด้วยอีกต่างหาก
โดยทั่วไปแล้วเรามักไม่ใส่ใจกับการหัวเราะเท่าใดนัก ได้ฟังเรื่องตลก หรือเจอเหตุการณ์แปลกๆ พิลึก น่าขัน ก็หัวเราะ แล้วก็ผ่านเลยมันไป เหมือนว่าการหัวเราะเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่สลับซับซ้อนอะไร
เอาเข้าจริง ศาสตราจารย์แจคสันระบุว่า กว่าจะกลายเป็นการหัวเราะครั้งหนึ่งๆ นั้น ร่างกายของคนเราต้องทำงานหลายอย่างมาก สมองหลายส่วนของเราทำงานไปพร้อมๆ กัน ทั้งในส่วนที่ใช้ควบคุมความเคลื่อนไหว, อารมณ์, ความรู้คิด (cognitive) และส่วนที่ทำหน้าที่ประมวลผลเชิงสังคม
แม้แต่การแสดงออกทางใบหน้าขณะหัวเราะก็จำเป็นต้องอาศัยการทำงานสอดประสานกันของกล้ามเนื้อใบหน้ามากมายหลายส่วน ตั้งแต่ตา ศีรษะ ลงมาจนถึงหัวไหล่
นักวิชาการด้านจิตวิทยาผู้นี้บอกว่า ตอนที่เราหัวเราะ หรือฟัง, มอง เรื่องตลก เหตุการณ์ตลกๆ นั้น สมองทั้งในส่วนของมอเตอร์ คอร์เท็กซ์ (motor cortex) ซึ่งควบคุมกล้ามเนื้อ, สมองกลีบหน้า (frontal lobe) ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจถึงบริบทแวดล้อมทั้งหลาย, และระบบลิมบิค (limbic system) ซึ่งทำหน้าที่สร้างอารมณ์ในเชิงบวก ถูกกระตุ้นให้ทำงานไปพร้อมๆ กัน
กระบวนการทำงานที่สอดคล้องกันเป็นวงจรในสมองทั้งหมดเหล่านี้ทำให้การเชื่อมโยงของประสาทแข็งแรงขึ้น การประสานงานกิจกรรมต่างๆ ภายในสมองดีขึ้น ในขณะเดียวกันระบบประสาทที่ก่อให้เกิดอารมณ์สนุก หรือรื่นเริงอันเนื่องมาจากการหัวเราะเหล่านี้ทำให้อารมณ์ของเราดีขึ้น ลดความเครียดในการตอบสนองทั้งในเชิงกายภาพและในเชิงอารมณ์ลง
ศาสตราจารย์แจคสันบอกว่า การหัวเราะทำให้เราสามารถควบคุมระดับของสารเซโรโทนิน (serotonin) ที่เป็นสารสื่อประสาท (neurotransmitter) ในสมองให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทำนองเดียวกับการใช้ยาระงับการซึมเศร้า รวมทั้งจำกัดการหลั่งสารสื่อประสาทและฮอร์โมน อาทิ คอร์ติซอล (cortisol) ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อทั้งระบบหลอดเลือด ระบบย่อยอาหารและระบบภูมิคุ้มกันได้ในระยะยาว
พูดง่ายๆ ก็คือ การหัวเราะ เป็นเหมือนยาลดความเครียด ที่เป็นตัวการทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายเหล่านี้อ่อนแอลงและทำให้เชื้อโรคต่างๆ โจมตีเราได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
อารมณ์ขันและการหัวเราะจะเกิดขึ้นได้เราต้องเข้าใจหลายๆ อย่าง ต้องเข้าใจถึงความแปลกประหลาด การหักมุม ไม่สอดคล้องกันของเหตุการณ์ ความคิดในสมองต้องทันต่อพฤติกรรม หรือเหตุการณ์นั้นๆ ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็จะไม่ “เก็ต” แล้วก็ไม่หัวเราะ แต่จะสับสนแทน ยิ่งเราเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายของคนอื่น และรับเอาทรรศนะ หรือความคิดเหล่านั้นเข้ามามากเท่าใด เราก็ยิ่งหัวเราะเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น
และที่สำคัญก็คือ เราต้องสามารถมองเห็นอีกด้านที่ชวนขัน หรือสนุกสนานในแต่ละเรื่องราวได้อีกด้วย
อย่างที่บอก การหัวเราะ โดยเฉพาะการหัวเราะหนักๆ จนตัวโยน หรือท้องคัดท้องแข็ง ไม่ค่อยเกิดขึ้นเมื่อเราอยู่ตามลำพัง แต่เกิดขึ้นได้บ่อยครั้งกว่าเมื่อเราอยู่ในแวดล้อมของเพื่อนพ้อง ซึ่งศาสตราจารย์แจคสันระบุว่า เป็นเครื่องแสดงได้เป็นอย่างดีว่า การหัวเราะมีบทบาทเชิงสังคมสูงยิ่ง
คนเราหัวเราะตั้งแต่ยังแบเบาะ แจคสันชี้ว่า การหัวเราะของทารกคือสัญญาณที่ปรากฏให้เห็นภายนอก ซึ่งแสดงถึงความพึงพอใจ และช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างทารกกับผู้เป็นมารดา หรือผู้เลี้ยงดูแข็งแรงแน่นหนาขึ้น ในวัยผู้ใหญ่การหัวเราะเป็นสัญญาณที่แสดงออกถึงทรรศนะที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับคนอื่นๆ ต่อสถานการณ์หนึ่งๆ ทำให้เรารู้สึก “ใกล้ชิด” ซึ่งกันและกันมากขึ้น ก่อให้เกิด “ความสนิทสนม” ขึ้นตามมา
นั่นคือพลังในเชิงสังคมที่การหัวเราะหยิบยื่นให้กับเรา
ในทางจิตวิทยา การหัวเราะที่เป็นการสนองตอบต่อเรื่องสนุก หรือเรื่องตลก ถือเป็นกลไกที่ดีในการรับมือกับสถานการณ์ เมื่อเราหัวเราะ เราลดความจริงจังต่อตัวเอง หรือต่อสถานการณ์ลง และอาจรู้สึกมั่นใจว่าสามารถแก้ไขสถานการณ์ทั้งหลายได้
ความสุข สนุกสนาน ร่าเริง คืออารมณ์ด้านดีที่การหัวเราะนำมามอบให้กับเรา สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยก่อให้เกิดความยืดหยุ่นทางอารมณ์ เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ขึ้นตามมา เกิดความรู้สึกพึงพอใจต่อชีวิตและความเป็นอยู่
มีงานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่าประสบการณ์ของอารมณ์เชิงบวกเหล่านี้เชื่อมโยงกับชื่นชมยินดีกับความหมายของชีวิตในบั้นปลายของมนุษย์เราอีกด้วย
เหล่านี้คือคุณค่าของการหัวเราะซึ่งไม่ควรถูกมองข้ามอีกต่อไป