ผู้เขียน | เสถียร จันทิมาธร |
---|
ขยาย แนวรบ
‘ฟูซา’ ถลำ การศึก
รุก เป็น ‘รับ’
หลังจากฟูซาทรงพิชิตแคว้นเยว่ได้ก็ขยายพระราชอาณาเขตออกไปอย่างรวดเร็วจนมีแสนยานุภาพเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ
จึงเที่ยวก่อสงครามเพื่อความเป็นใหญ่ในจงหยวน
ใน 489 ปีก่อน ค.ศ. ยกทัพบุกแคว้นฉิน 488 ปีก่อน ค.ศ. .ยกทัพบุกแคว้นฉู่ ทั้งยังสามารถพิชิตแคว้นเล็กแคว้นน้อยรายรอบ
ปูทางไปสู่การบุกเข้าจงหยวน
ขณะเดียวกัน พระองค์ก็ทรงเกณฑ์ราษฎรจำนวนมากมาสร้างเมืองหาน ขุดคลองเชื่อมต่อกับแม่น้ำเจียงหวย
เพื่อสะดวกแก่การยกทัพทางน้ำ
เมื่อ 484 ปีก่อน ค.ศ. ฟูซาอ๋องได้ข่าวว่าเจ้าครองแคว้นฉีสิ้นพระชนม์จึงตัดสินพระทัยครั้งใหญ่เข้าตีแคว้นฉี
“ทำเช่นนั้นไม่ได้” เป็นการท้วงจากมหาอำมาตย์เอกยู่จื่อ
“โกวเจี้ยน เจ้าแคว้นเยว่ยังไม่ยอมสยบ หากคนคนนี้ไม่ตายจะเป็นภัยใหญ่หลวงในวันหน้า ถ้าเปรียบไปแล้วแคว้นเยว่เหมือนโรคร้ายที่เกาะกินตัวเรา
แคว้นฉีเป็นเพียงสะเก็ดแผลในตัวเท่านั้น ขอทรงเข้าตีแคว้นเยว่ก่อน”
แต่ฟูซาอ๋องไม่เชื่อคำทัดทาน รับสั่งให้หาฤกษ์ยามเพื่อยกทัพขึ้นเหนือโดยได้บรรจบทัพกับทัพจากแคว้นฉู่
เข้าตีแคว้นฉีจนแตกพ่าย
หลังจากทรงมีชัยกลับแคว้นก็ยิ่งทรงประมาทศัตรู ทรงคิดว่าถ้าปราบแคว้นจิ้นลงได้
ผู้เป็นใหญ่ในจงหยวนก็คงไม่พ้นพระองค์เป็นแน่
นี่เป็นเรื่องราวว่าด้วย “ฟูซาอ๋องแย่งยึดแผ่นดินตงง้วน” ในหนังสือ “คัมภีร์พิชัยสงครามซุนวู ฉบับสมบูรณ์” เล่ม 4
เน้นอนุศาสน์ที่ว่า “บางครั้งจะไม่แย่งชิงพื้นที่บางแห่ง”
ดังที่ซุนวูระบุไว้ในบท “ความพลิกผัน 9 ประการ” ดังสำแดงผ่านสำนวนแปลของ อดุลย์ รัตนมั่นเกษม
อันหลักการทำศึกนั้น เมื่อแม่ทัพขุนทหาร
ได้รับราชโองการจากพระเจ้าแผ่นดินระดมเกณฑ์ทหารจัดตั้งเป็นกองทัพ สะสมยุทธปัจจัยและเตรียมออกศึก
จงอย่าตั้งค่ายในที่ “เฉอะแฉะเปียกชื้น”
ควรผูกไมตรีกับ “ประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นเส้นทางผ่าน” อย่ารีรออ้อยอิ่งใน “พื้นที่ที่ไปมาไม่สะดวก ขนส่งเสบียงลำบาก”
หากเข้าไปใน “พื้นที่ที่ข้าศึกล้อมไว้” จงรีบหาทางหนีออกมาโดยเร็ว
และเมื่ออยู่ใน “พื้นที่ที่ไม่มีทางรอด” ก็ต้องสู้ยิบตาเพื่อเอาตัวรอด โดยบางครั้งจะไม่เดินเส้นทางบางเส้นที่น่าจะเดิน
บางครั้งแม้เจอข้าศึกที่ตีง่ายก็จะไม่ตี
บางครั้งก็ไม่เข้าตีเมืองบางเมือง แม้จะตียึดได้ง่าย บางครั้งจะไม่แย่งชิงพื้นที่บางแห่ง และบางครั้งก็จะไม่รับสนองราชโองการจากพระเจ้าแผ่นดิน
หากเห็นว่าจะไม่ก่อผลดีในการสงคราม
เบื้องหน้าความมุ่งมั่นของฟูซาอ๋อง เบื้องหน้าความแน่วแน่ของฟูซาอ๋องที่จะรุกเข้ายึดแคว้นเยว่
ยู่จื่อซีทูลทัดทานเป็นคำรบที่สอง
“การชนะแคว้นฉีเป็นเพียงข่าวดีเล็กๆ เท่านั้น ห่วงว่าภัยอันใหญ่หลวงกำลังมาถึงตัว”
แต่ฟูซาแทนที่จะรับฟัง กลับสั่งให้เขาฆ่าตัวตาย
ฟูซาอ๋องรับสั่งให้รัชทายาทอิ้ว องค์ชายตี้ พระราชนัดดาเหมียง และโส้วเหวินเทา พร้อมทหารอ่อนแอขี้โรค 10,000 อยู่รักษาเมืองกูซู
พระองค์นำทหาร 30,000 คน ไปเมืองหวงฉือ
ดูภายนอกแล้วโกวเจี้ยนก็พินอบพิเทาเชื่อฟังฟูซาอ๋องดี แต่ความจริงกลับคิดชำระความแค้นอยู่
จึงเรียกฟ่านหลี่เข้าหารือถึงแผนการที่จะเข้าตีแคว้นอู๋
วันที่ 12 เดือน 6 โกวเจี้ยนคาดคะเนว่ากองทัพแคว้นอู๋เดินทางไปถึงเมืองหวงฉือ ก็ระดมทหาร 49,000 คน
แยกเป็น 2 ทัพเข้าตีแคว้นอู๋
ฟ่านหลี่ โห้ยง นำทัพหนึ่งเดินไปทางน้ำเข้าสู่แม่น้ำหวยเหอ เพื่อตัดเส้นทางถอยของกองทัพแคว้นอู๋
อีกทัพโฉวอู่หวิน โอวหยาง เป็นทัพหน้า โกวเจี้ยนเป็นทัพหลวง
รัชทายาทอิ้วนำทหารไปตั้งทัพสกัดที่เมืองหงส้าว แต่พวกทหารแก่ๆ อ่อนแอและขี้โรคหรือจะสู้ทหารเยว่ที่ฝึกมาอย่างดีได้ จึงถูกตีแตกพ่าย
รัชทายาทอิ้วถูกจับเป็นเชลย
วันรุ่งขึ้น กองทัพเยว่เข้าตีเมืองกูซู ยึดข้าวของได้เป็นจำนวนมาก ชัยชนะอยู่ในมือของโกวเจี้ยน
เท่ากับเป็นการตีตลบหลังอย่างหนำใจ
ด้านหนึ่ง ฟูซาอ๋องชิงความเป็นใหญ่กับจิ้นติ่งกงอยู่ที่เมืองหวงฉือ พอได้ข่าวว่าทัพเยว่เข้าโจมตีแคว้นอู๋
รัชทายาทถูกจับ หอกูซูถูกเผาวอด
ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่ง ความที่เกรงว่าสถานการณ์ที่เมืองกูซูจะกระทบกับความฝันที่จะเป็นใหญ่ในจงหยวน
เชื่อคำของโป๋ผี ประหารคนที่มาแจ้งเหตุ ปกปิดข่าว
ทรงใช้แสนยานุภาพข่มขู่แคว้นจิ้นจนได้เป็นใหญ่ แล้วยกทัพกลับกูซูในคืนนั้นระหว่างทางก็ได้รับข่าวร้ายอย่างต่อเนื่อง
ปิดข่าวอย่างไรก็ไม่ผิด ขวัญกำลังใจทหารเสื่อมทรุด
เมื่อทัพอู๋เข้าใกล้เมืองกูซูก็พบกับทัพของฟ่านหลี่ ทั้งสองฝ่ายเข้าสู้รบกันอย่างดุเดือด
ผลก็คือ ทัพฟูซา ปราชัยอย่างยับเยิน
มีความขัดแย้งอย่างแจ้งชัดระหว่าง ความทะเยอทะยานแห่งอำนาจ กับ ความเป็นจริงของการสู้รบ
นี่คือการจัดเอกภาพอันขัดแย้ง
ด้านหนึ่ง การสู้รบอาจขึ้นอยู่กับความพร้อมทางด้านอัตวิสัย ขณะเดียวกัน ความเป็นจริงในทางภววิสัยก็กำหนดผล
ไปสู่ “ชัยชนะ” ไปสู่ “พ่ายแพ้”
คำว่า “รู้เขา รู้เรา” จึงมิได้หมายถึงในทางอัตวิสัยอย่างด้านเดียว หากแต่ต้องคำนึงถึงภววิสัยด้วย
ดังกรณีของฟูซา ฉะนี้