ผู้เขียน | ภูษิต ภูมีคำ |
---|
ปลูกชา ปลูกชีวิต จิบวิถี ‘ดอยปู่หมื่น’ จากรากเหง้าสู่ซอฟต์เพาเวอร์
หุบเขาอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแมกไม้เขียวขจีของ ‘ดอยปู่หมื่น’ อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ไม่เพียงงดงามควรค่าแก่การเดินทางไปเยี่ยมเยือนเพื่อดื่มด่ำซึ่งธรรมชาติอันบริสุทธิ์ หากแต่ยังเป็นแหล่งทรัพยากรชั้นดีของ ‘ไร่ชาดอยปู่หมื่น’ ซึ่งตั้งอยู่บนความสูง 1,300 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ความหวานละมุนลิ้นและกลิ่นควันอันมีเอกลักษณ์ คือเสน่ห์ของ ‘ชาดอยปู่หมื่น’ ที่จิบแล้วชวนให้จินตนาการถึงความยั่งยืนของธรรมชาติและวิถีชีวิตของผู้คน
ไม่ว่าจะนั่งจิบในออฟฟิศ บนตึกสูงกลางกรุง ในร้านกาแฟสุดเก๋ ในบ้านอบอุ่นที่ห่างไกลจากดอยสูง ชาดอยปู่หมื่นก็ยังมอบรสสัมผัสลึกซึ้งถึง ‘ต้นน้ำ’ และรอยยิ้มของชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่คือชาว ‘ลาหู่’ กลุ่มชาติพันธุ์ที่รุ่มรวยด้วยวัฒนธรรมหลากสีสัน เดินทางรอนแรมจากทิเบตตอนใต้ สู่จีน พม่า และภาคเหนือของไทย ทั้งยังเป็นที่มาของชื่อดอย โดยมีคำบอกเล่าถึงเรื่องราวของ ‘ปู่หมื่น’ หรือ ‘นายแตงเต้า’ ผู้นำชุมชนลาหู่แดงรุ่นแรก เมื่อราว 120 ปีก่อน จึงกลายมาเป็นคำเรียกชื่อของหมู่บ้าน
“วัฒนธรรมการดื่มชาของคนลาหู่ เราอยู่กับธรรมชาติ ดั้งเดิมมีการดื่มชาเป็นยา เพราะฉะนั้น ชาบ่งบอกถึงการเรียนรู้วัฒนธรรม คุณดื่มชาคุณจะต้องรู้ประวัติศาสตร์ คุณต้องรู้ว่ารากเหง้าของตัวเองคือใคร”
คือมุมมองของ จิราวรรณ ไชยกอ ตัวแทนชุมชนดอยปู่หมื่น ที่ยืนยันด้วยว่า ชาคือชีวิต เพราะบ่งบอกถึงธรรมชาติที่ดี ต้นน้ำที่ดี และรอยยิ้มของชาวบ้าน ดังเช่น นาหา จะยะ วัย 59 ปี ที่ปลูกชาเป็นอาชีพหลักมานานถึง 4 ทศวรรษ ใน 1 วันเก็บชาได้ราว 20 กิโลกรัม

‘เข้มข้นทุกใบ ดื่มแล้วได้รสชาติดีจากอากาศบริสุทธิ์บนดอยสูง’ คือนิยามโดยสรุปอย่างเรียบง่ายได้รสชาติจาก นาหา ผู้ซึ่งดื่มชาทุกวันจากการปลูกด้วยใจที่อยากให้คนไทยได้ร่วมลิ้มลอง
ปัจจุบัน ชาดอยปู่หมื่นได้รับการพัฒนาในกระบวนการต่างๆ โดยเน้นย้ำการ ‘ปลอดสารเคมี’ โดยอยู่ระหว่างการขอใบรับรองการทำเกษตรอินทรีย์ ทั้งยังต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยว ‘วิถีชา’ เพื่อการอนุรักษ์ ไม่เพียงเท่านั้น
โปรเจ็กต์ลดเหลื่อมล้ำ พัฒนาชุมชนลาหู่ ดอยปู่หมื่น
‘FWD’ หวังสร้างความยั่งยืน
เดวิด โครูนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (FWD ประกันชีวิต) ย้อนเล่าถึง ‘โครงการพัฒนาชุมชนลาหู่ ดอยปู่หมื่น’ ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2564 เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความยั่งยืนใน 3 ด้านคือ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ว่ามีการทำงานร่วมกับหลายภาคส่วน ทั้งองค์กรบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยว (อพท.) ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว คณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตร จังหวัดเชียงใหม่
โครงการธนาคารต้นกล้า โครงการพัฒนาคุณภาพชา และโครงการเพิ่มมูลค่าชาอัสสัม คือ 3 โครงการที่ได้รับการพัฒนา จวบจนวันนี้
“ดอยปู่หมื่นเป็นพื้นที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ มีความร่ำรวยทรัพยากรทางธรรมชาติ มีเงินมากมายเท่าใดก็ไม่สามารถซื้อวิวแบบนี้ อากาศที่บริสุทธิ์ขนาดนี้ไม่ได้ และสิ่งที่เราอยากทำ คือ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และอยากเห็นเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนให้เกิดขึ้นให้ได้” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FWD ประกันชีวิตกล่าว
ธนาคารต้นกล้า ‘เพาะชา ปลูกชีวิต’
เมล็ดพันธุ์แห่งชุมชนลาหู่ที่รอวันเติบโต
มาเริ่มด้วยการทำความรู้จักโมเดลธนาคารต้นกล้า ซึ่งเปรียบเสมือนธนาคารที่ดูแลการรับฝาก-ถอนเงิน แต่เปลี่ยนการรับฝาก-ถอนเงิน มาเป็นการแจกจ่าย การรับคืน “ต้นกล้า” และ “เมล็ดพันธุ์” ชาอัสสัม เพื่อทำให้เกิดการหมุนเวียนต้นกล้าภายในชุมชน และเพิ่มปริมาณต้นชาให้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงทำให้ชุมชนได้พัฒนากระบวนการการเพาะปลูกตั้งแต่เมล็ด จนถึงวิธีการดูแลต้นกล้า และการเก็บเกี่ยว เพื่อลดปัญหาเรื่องจำนวนต้นกล้าที่ไม่เพียงพอต่อพื้นที่ ทำให้ชุมชนสามารถเพิ่มผลผลิตชาให้มากขึ้นในระยะยาว รวมถึงให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการบริหารต้นกล้าอย่างเป็นระบบด้วยตนเอง
ปัจจุบันโครงการดังกล่าวได้ส่งมอบต้นกล้าชาสู่ สมาชิกรุ่นที่ 2 แล้ว
ด้าน เสาวรส แสนลี้ ชาวบ้านดอยปู่หมื่น อายุ 29 ปี เล่าว่า ตอนนี้มีพื้นที่ปลูกชา 21 ไร่ ปลูกมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ของสามี ตั้งแต่เช้า ตื่นมาก็ไปเก็บชา นำไปคั่ว เอาไปนวด แล้วจึงตากแดด พอแห้งแล้วจึงนำมาคัด ชุมชนมีการช่วยเหลือเกื้อกูล สามัคคีกันมาก เมื่อมีโครงการนี้เข้ามา ก็ช่วยได้หลายอย่าง ทั้งเรื่องของการเพาะปลูกชา ทำปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งปกติไม่เคยทำ พอได้ลองก็ทำให้ได้ความรู้ และมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย
วิวัฒน์ วัชรนิธิกุล สมาชิกโครงการธนาคารต้นกล้ารุ่นที่ 1 เผยความในใจว่า นี่คือเรื่องใหม่สำหรับตัวเอง คือสิ่งที่ทำให้ชาวบ้านได้เรียนรู้ และพัฒนา
“ธนาคารต้นกล้า สำหรับผมเป็นอะไรที่ใหม่ ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ถ้าพูดถึงคนดอย คนเขาเรียกว่า คนชายขอบ เราเหลื่อมล้ำกว่าคนพื้นล่าง ของที่เราใช้ แพงกว่าคนข้างล่าง เพราะมีค่าขนส่ง และชาที่พวกผมขายมันเอาไปขายที่ตลาดข้างล่าง ก็ไม่ได้ราคาดี ไม่สามารถตีเข้าไปในตลาดกลาง และตลาดสูงได้ อย่างเช่นตอนนี้ ชาราคา 10 กว่าบาท ในอนาคตอาจจะขึ้นไป 20-30 บาท จะทำให้ชาวบ้านอยู่ดี มีกินมีใช้” วิวัฒน์กล่าว
จากวิถีดั้งเดิม สู่ชาออร์แกนิค
ขยับมาตรฐาน เพิ่มมูลค่าด้วย โรงอบชาอัจฉริยะ

จากข้อมูลข้างต้น สะท้อนถึงการประสบปัญหาการขายใบชาในราคาต่ำ เหตุหนึ่งมาจากกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมตามแนวธรรมชาติ เช่น การตากแดดตามธรรมชาติ ทำให้ผลิตภัณฑ์ตากแห้งมักปนเปื้อนไปด้วยฝุ่นละออง แมลง การเปียกฝน และรูปแบบการอบโดยใช้ฟืน
การพัฒนาคุณภาพ “ชาอัสสัมดอยปู่หมื่น” เพื่อเพิ่มมูลค่า ควบคุมคุณภาพ และลดเวลาในการผลิตชาจึงถือกำเนิดขึ้น เพื่อทำให้ชามีคุณภาพ ซึ่งจะสามารถทำรายได้มากขึ้นในระยะยาวด้วย “โรงอบชาอัจฉริยะ” หรือ “ระบบอบแห้งพลังงานงานอุตุนิยมวิทยา” ซึ่งเป็นการอบแห้งใบชาด้วยความร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่สามารถปรับอุณหภูมิความร้อนในการอบ ให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศและความชื้น
ร่วมพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญ อย่าง ผศ.ดร.ธีรนุช จันทโสภีพันธ์ จากศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังเก็บเกี่ยว คณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ รศ.ดร.วาริช ศรีละออง ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว ศูนย์นวัตกรรมหลังเก็บเกี่ยว คณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
“เรามาดอยปู่หมื่น พบว่าชาวบ้านตากชาบนพื้น แทบจะควบคุมอะไรไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ ฝุ่น ความสกปรก ทำให้ชาไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ตอนนี้เราคิดพัฒนาระบบการอบชา ซึ่งเราสามารถอ่านค่าในแต่ละวันผ่านทางโทรศัพท์มือถือ วัดค่าอุณหภูมิ ความชื้น และเวลาในการอบ ให้สามารถบันทึกข้อมูลในโรงอบ เพื่อให้ชาวบ้านที่มาใช้งานรู้ว่าต้องมาอบชาด้วยอุณหภูมิ ความชื้น และเวลาเท่าใด ที่จะสามารถทำให้ชาออกมาได้ในมาตรฐานใกล้เคียงกันได้” ผศ.ดร.ธีรนุชอธิบาย
ท่องเที่ยววิถีชา-เมนูเก๋ จานอร่อย ซอฟต์เพาเวอร์จากยอดดอย
อีกหนึ่งการต่อยอดที่น่าสนใจคือการการสร้างสรรค์เมนูอาหารจากชาดอยปู่หมื่น จากเดิมซึ่งขายใบชาในรูปแบบชาใบสดและตากแห้ง จำหน่ายผ่านพ่อค้าคนกลาง ทำให้ผลผลิตของชาวบ้านขายได้ในราคาต่ำ และไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
การเพิ่มมูลค่าของชาอัสสัม ผลผลิตหลักของชุมชนให้สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ คือสิ่งที่ต้องทำควบคู่
งานนี้ เชฟชุมพล แจ้งไพร เชฟผู้ได้รับตำแหน่งทูตแห่งอาหารเพื่อความยั่งยืน จาก UNDP ลงพื้นที่สำรวจวัตถุดิบชองชุมชนดอยปู่หมื่น ได้รังสรรค์ Doi Pu Mean’s Tea Special Menu เมนูความอร่อยพร้อมกับบอกเล่าวัฒนธรรมดอยปู่หมื่น ผ่านอาหารและเครื่องดื่มสุดสร้างสรรค์ เช่น ยำยอดปลาทอดสมุนไพร, เกี๊ยวซ่ายอดชาปู่หมื่น, ข้าวอบหมูตุ๋นชาอัสสัมแดง, ยอดชาพีชเลมอนโซดา, ยอดชาขาวมิกซ์เบอร์รี่โมจิโต้ และช็อกโกแลต FWD ยอดชาปู่หมื่น จัดจำหน่ายในร้านอาหารหวานไทย (Wann Thai)

นอกจากนี้ ปัจจุบัน หมู่บ้านดอยปู่หมื่น ได้เริ่มพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชา (Tea Tourism) โดยมีกิจกรรมที่ชุมชนมีส่วนร่วม ตั้งแต่การที่ชาวบ้านขับรถมารับนักท่องเที่ยวขึ้นไปบนดอย สัมผัสวิถีชีวิตที่มีการรักษาวัฒนธรรมแบบชนเผ่าดั้งเดิมไว้อยู่ เช่น กิจกรรมเก็บใบชา คั่วชา เรียนรู้การเบลนด์ชา ชมชาต้นแรก ทำข้าวกระบอกไม้ไผ่ ชมวิถีชีวิตชาวบ้านเผ่าลาหู่ สร้างรายได้เสริมให้กับผู้คนในชุมชน โดยยังคงยึดการทำชาเป็นอาชีพหลัก ใช้พื้นที่ในการปลูกบนดอยทั้งหมดกว่า 2,000 ไร่ มีรายได้เดือนละประมาณ 6,000-7,000 บาทต่อครัวเรือน ช่วงหน้าหนาวเป็นช่วงที่ชาพักการแตกยอด เนื่องจากอากาศแห้ง การท่องเที่ยวจึงเข้ามาช่วยเสริมรายได้ให้กับชุมชนได้เป็นอย่างดี
อุดม ชิดนายี รองประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เชียงใหม่ กล่าวว่า เราสามารถพานักท่องเที่ยวมาในพื้นที่ การันตีได้ว่าจะได้ดื่มชาที่ดีจากภูมิปัญญาชาวบ้าน ซึ่งไม่ว่าฤดูใด จะสามารถมาดื่มชาได้ตลอดปี วันนี้เรากำลังพัฒนา “การท่องเที่ยว BCG Model” ซึ่งเป็นการนำองค์ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์กับการท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืน เข้ามาตอบโจทย์การลดปัญหาทางสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาด้านมลพิษฝุ่น PM2.5 โดยมุ่งเน้นให้ดอยปู่หมื่นกลายเป็นภูเขาต้นแม่น้ำที่ดี รวมถึงการขยายการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) นำวัตถุดิบท้องถิ่น ชา สมุนไพร มาสร้างรายได้กระจายสู่ชุมชน ไม่ใช่การท่องเที่ยวที่กระจุกตัวอยู่เฉพาะในตัวเมือง
การลิ้มรสชาจากดอยปู่หมื่น จึงไม่ใช่เพียงการบริโภคชา คลุกเคล้าอบอวลไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ และความยั่งยืนทางธรรมชาติแต่เปรียบเสมือนการได้ลิ้มรสสัมผัสถึงวิถีชีวิตวัฒนธรรม รากเหง้าชนเผ่าลาหู่
ชาที่เติบโต คือชีวิตที่เติบโต รสชาติที่ได้จิบ คือวิถีที่คงอยู่จากรุ่นสู่รุ่น
ภูษิต ภูมีคำ