เผยขั้นตอนนับโทษคดีสิ้นสุด ‘ทักษิณ’ 3 คดีของศาลฎีกานักการเมือง ไม่ได้สั่งนับโทษต่อจำคุกสูงสุดแค่ 5 ปี หากเข้าไทยจะต้องถูกจับส่งศาลฎีกานักการเมือง
เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม แหล่งข่าวจากศาลยุติธรรมได้ให้ความเห็นกรณีการนับโทษของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีข่าวว่าจะเดินทางกลับประเทศไทยว่า ตามขั้นตอนเมื่อเข้าประเทศมาจะต้องถูกควบคุมตัวตามขั้นตอนเพื่อนำตัวผู้ต้องคำพิพากษาจำคุกถึงที่สุดของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไปยังศาลนั้น เมื่อนำตัวส่งศาลแล้ว ศาลจะสอบถามว่าเป็นบุคคลตามหมายจับศาลในคดีนี้ใช่หรือไม่ ถ้านายทักษิณยอมรับว่าใช่ ศาลก็จะอ่านสรุปคำพิพากษาโดยย่อให้ฟังว่า คดีหวยบนดินศาลจำคุกกี่ปี คดีทุจริตปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์โดนโทษจำคุกกี่ปี คดีแก้สัมปทานเอื้อชินคอร์ปโดนโทษจำคุกกี่ปี แล้วออกหมายขัง ส่งตัวเข้าไปรับโทษในเรือนจำตามคำพิพากษา
ในส่วนการนับโทษของนายทักษิณต้องไปดูคำพิพากษาแต่ละคดีว่า ศาลสั่งให้นับโทษ “ต่อจากคดีเก่า” หรือไม่ ถ้าไม่สั่งให้นับโทษต่อก็จะนับโทษทับกัน เช่น คดีหวยบนดิน โทษจำคุก 2 ปี ไม่ได้สั่งให้นับโทษต่อกับคดีอื่น คดีทุจริตปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์โทษจำคุก 3 ปี ไม่ได้สั่งให้นับโทษต่อจากคดีอื่น และคดีแก้สัมปทานเอื้อชินคอร์ปโทษจำคุก 5 ปี ไม่ได้สั่งให้นับโทษต่อจากคดีอื่น เท่ากับว่านายทักษิณจะถูกจำคุกสูงสุดแค่ 5 ปี เพราะคำพิพากษาของศาลไม่ได้สั่งให้นับโทษต่อจากคดีอื่น แต่ถ้าสั่งนับโทษต่อก็จะถูกจำคุก 7 ปี หรือ 8 ปี แล้วแต่ว่าจะนับโทษต่อจากคดีไหน ถ้านับโทษต่อทุกคดีที่กล่าวมานี้คือ 10 ปี
ส่วนการลดโทษ-การขอพระราชทานอภัยโทษ จะได้ลดเป็นรายคดี ดังนั้น ถ้านายทักษิณได้ลดโทษเยอะในคดีเอื้อชินคอร์ปก็จะได้ออกจากคุกเร็วที่สุด เพราะถูกจำคุกหนักสุดคือ 5 ปี สรุปคือเท่าที่ปรากฏขณะนี้จากคำพิพากษาทั้ง 3 คดีที่ปรากฏไม่ได้ให้นับโทษต่อนายทักษิณจะโดนโทษจำคุกแค่ 5 ปี ไม่ใช่ 10 ปี
ขณะที่การอ่านคำพิพากษา หลังตำรวจนำตัวส่งศาล ศาลจะไม่อ่านซ้ำทั้งหมด แต่จะแค่อ่านย่อทวน เพราะองค์คณะผู้พิพากษาอ่านคำพิพากษาลับหลังคดีเหล่านี้โดยชอบตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 ที่แก้ไขใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว