สะพานแห่งกาลเวลา : ลืม ‘โควิด’ กันแล้วหรือยัง?

สะพานแห่งกาลเวลา : ลืม ‘โควิด’ กันแล้วหรือยัง?

เหมือนจะรู้ว่า คนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้กำลังลืม “โควิด-19” โรคอุบัติใหม่ที่กลายเป็นโรคระบาดใหญ่ระดับโลกนับตั้งแต่ปี 2020 เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปีที่แล้ว เจ้า “ซาร์ส-โควี-2” เชื้อไวรัสก่อโรคนี้ ถึงได้ส่ง “อีจี.5” (EG.5) สายพันธุ์กลายพันธุ์ย่อยตัวใหม่ออกมาอาละวาดเป็นการเตือนความจำ

สิ่งที่ทำให้ “อีจี.5” โด่งดังขึ้นมาจนได้รับชื่อเรียกขานง่ายๆ ว่า “เอริส” (Eris) เพราะจู่ๆ สถิติในสหรัฐอเมริกาก็แสดงให้เห็นว่า มันคือตัวการที่ทำให้เกิดการติดเชื้อและล้มป่วยเป็นโควิดมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา คิดเป็น 17 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยทั้งหมด

สำคัญยิ่งกว่านั้น ตัวเลขของผู้ที่ล้มป่วยด้วยโรคโควิดจนต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลในสหรัฐก็เพิ่มขึ้นพรวดพราดในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จาก 6,300 คน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน กลายเป็นกว่า 9,000 คน

ADVERTISMENT

เป็นการเพิ่มจำนวนคนที่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะโควิดเป็นครั้งแรกของปีนี้

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เชื้อ “อีจี.5.1” ซึ่งเป็นเชื้อสายพันธุ์ใกล้เคียงกันกับอีจี.5 ก็เริ่มอาละวาดในสหราชอาณาจักร แล้วก็กลายเป็นเชื้อที่ก่อโรคโควิดในคนมากที่สุดไปเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม

ADVERTISMENT

ในระดับโลก องค์การอนามัยโลกบอกว่า อีจี.5 ก่อให้เกิดโรคโควิดคิดเป็นสัดส่วน 11.6 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนผู้ป่วยโควิดทั้งหมด เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในช่วง 4 สัปดาห์ ซึ่งถือว่าเร็วไม่น้อย และทำให้อนามัยโลกประกาศให้เป็นเชื้อสายพันธุ์ที่อยู่ภายใต้การ “เฝ้าระวัง” (variant under monitoring) ซึ่งเป็นระดับต่ำลงมาจากสายพันธุ์ที่ต้องใส่ใจ (variants of interest) หรือสายพันธุ์ที่ต้องกังวล (variants of concern)

คำถามสำหรับคนทั่วๆ ไปอย่างเราๆ ท่านๆ ก็คือ ควรกังวลกับเจ้า “เอริส” ที่ว่านี้มากน้อยแค่ไหน ต้องกลับไปฉีดวัคซีนหรือสวมหน้ากาก เว้นระยะห่างกันอีกหรือเปล่า?

ผู้เชี่ยวชาญทั้งในสหรัฐอเมริกาและในสหราชอาณาจักร บอกตรงกันว่า

ศาสตราจารย์แมสซิโม พัลมารินี ผู้อำนวยการเอ็มอาร์ซีศูนย์เพื่อการวิจัยไวรัสแห่งกลาสโกว์ ในสกอตแลนด์ บอกว่า ไม่ต้องเป็นกังวลมากไป เพราะเอาเข้าจริงแล้ว อีจี.5 ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรมากมายนักจากเชื้อกลายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนที่อาละวาดอยู่ก่อนหน้านี้

ที่สำคัญก็คือ ประชากรส่วนใหญ่ของโลกในเวลานี้มีภูมิคุ้มกันทั้งที่ได้จากการฉีดวัคซีน และการติดเชื้อมาก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ถึงแม้จะไม่สามารถป้องกันไม่ให้ติดเชื้อได้ แต่ก็ช่วยให้ไม่เกิดอาการป่วยหนักขึ้นตามมา

นักไวรัสวิทยาระบุว่า อีจี.5 วิวัฒนาการต่อมาจากกลุ่มสายพันธุ์กลายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนที่อาละวาดอยู่ก่อนหน้านี้ ซึ่งเรียกว่า “เอ็กซ์บีบี” (XBB variants) แต่มีการกลายพันธุ์สำคัญเกิดขึ้นประการหนึ่งซึ่งทำให้ อีจี.5 มีความสามารถในการแพร่ระบาดสูงกว่าเชื้อตัวอื่นๆ ก่อนหน้านี้

กระนั้น การแพร่ได้เร็วก็ไม่ได้หมายความว่า อีจี.5 จะสามารถก่อให้เกิดอาการป่วยได้มากขึ้นหรือป่วยหนักกว่าสายพันธุ์อื่นๆ

ในทางตรงกันข้าม แอนดรูว์ เพคอสซ์ นักไวรัสวิทยาของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ยังตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยว่า ที่ว่าอีจี.5 มีความสามารถในการแพร่ระบาดได้เร็วเป็นพิเศษนั้น ก็ไม่ได้เร็วมากจนน่าตกใจเหมือนสายพันธุ์อื่นๆ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาแต่อย่างใด

ดร.แดน บารูช ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยวัคซีนและไวรัสวิทยาในนครบอสตัน สหรัฐอเมริกา ระบุว่า อีจี.5 รวมทั้งเชื้อกลายพันธุ์ตัวอื่นๆ ที่จะมีขึ้นในอนาคต มีแนวโน้มที่จะเป็นไปในทำนองเดียวกัน คือ ทำให้มีคนติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น แต่จำนวนผู้ที่ติดเชื้อแล้วอาการหนักจะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ

ข้อสังเกตหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ผู้เชี่ยวชาญชี้ให้เห็นว่า นับตั้งแต่ยุคโอมิครอนเรื่อยมา เชื้อโควิดสายพันธุ์ต่างๆ จะไม่ทำให้ปอดเกิดการติดเชื้ออีกแล้ว แต่จะหันไปก่อให้เกิดการติดเชื้อบริเวณระบบทางเดินหายใจตอนบนแทน ซึ่งมีความร้ายแรงน้อยกว่าการโจมตีปอดโดยตรง

ผู้เชี่ยวชาญยังไม่มีข้อมูลเชิงคลินิกมากพอที่จะสรุปอาการจำเพาะที่เกิดจากการติดเชื้ออีจี.5 ได้ แต่พอสรุปได้โดยอนุมานว่า น่าจะเป็นกลุ่มอาการเดียวกันกับที่เกิดจากการติดเชื้อสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนอื่นๆ

คือมีอาการไข้, ไอ, เหนื่อยอ่อน, ปวดกล้ามเนื้อแล้วก็ปวดหัว เป็นต้น

ข้อแนะนำของผู้เชี่ยวชาญก็คือ ใครที่เริ่มมีอาการทำนองนี้ให้รีบตรวจหาเชื้อโดยเร็ว จะไปพบแพทย์หรือตรวจเองที่บ้านด้วยเครื่องตรวจโควิดแบบแสดงผลเร็วที่หาซื้อได้ทั่วไปก็ได้ เพียงแต่ขอให้ได้รู้ชัด และ
รีบรักษาตัวก่อนเป็นดีที่สุด

ส่วนเรื่องสวมหน้ากากอนามัย หรือการหาวัคซีนเข็มกระตุ้นใหม่ๆ ฉีดนั้น ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ขอให้เป็นเรื่องของกลุ่มเสี่ยง อย่างเช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือผู้ป่วยเป็นโรคที่ทำให้มีปัญหาด้านภูมิคุ้มกัน (เช่น ต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน) ฯลฯ เท่านั้น

ส่วนคนทั่วไปก็แค่อย่าเพิ่งลืมไปว่า โลกนี้ยังมีโควิด-19 หลงเหลืออยู่เท่านั้นก็น่าจะพอ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image