วิถีแห่งกลยุทธ์ : หัวใจ กลยุทธ์ ขึ้น ‘บ้าน’ ชัก ‘บันได’ หัวใจ สำคัญ

วิถีแห่งกลยุทธ์ : หัวใจ กลยุทธ์ ขึ้น ‘บ้าน’ ชัก ‘บันได’ หัวใจ สำคัญ

ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ซ่ง จ้าวควงอิ้น หลังการปฏิวัติเฉินเฉียวก็ทรงช่วงชิง “บัลลังก์” มาอยู่ในความครอบครอง
ทรงแต่งตั้ง “จ้าวผู่” ขึ้นเป็น “ราชครู”
ไม่ว่าบ้านเมืองมีเรื่องสำคัญอะไรก็จะทรงปรึกษากับจ้าวผู่ทุกเรื่อง ในวันหนึ่งพระองค์รับสั่งถามจ้าวผู่
“นับแต่ปลายราชวงศ์ถังเป็นต้นมาเป็นเวลาหลายสิบปีมีเปลี่ยนฮ่องเต้มา ไม่รู้กี่พระองค์ ไม่รู้กี่ราชวงศ์ แต่บ้านเมืองก็ยังไม่สงบสุขท่านว่านี่เป็นเพราะสาเหตุใด ต้องทำอย่างไรบ้านเมืองจึงจะสงบสุขตลอดไป
ท่านราชครูมีวิธีการดีๆ ที่จะชี้แนะหรือไม่”

ได้ยินดังนั้นท่านราชครูจ้าวผู่กราบทูลโดยพลันว่า “สาเหตุที่บ้านเมืองไม่สงบสุขก็ด้วยอำนาจนายทหารมีมาก อำนาจฮ่องเต้มีน้อย
ถ้าต้องการให้บ้านเมืองสงบสุขตลอดไป
ก็ต้องหาหนทางเรียกคืนอำนาจ ดึงกำลังทหารกลับมา และต้องจำกัดทรัพย์สินเงินทองของนายทหาร”
“จัง ซิง แซ” เจ้าแห่ง “อุบายเฉียบ” ระบุว่า เพียงเท่านี้ฮ่องเต้ก็เข้าใจชัดแจ้ง
เป็นความเข้าใจชัดแจ้งที่นายทหารรักษาพระองค์แวดล้อมพระวรกาย สือโซ่วซิ่น หวังเสิ่นฉีและพวก ล้วนเป็นคนสนิทและใกล้ชิด
เป็นผู้ร่วมก่อการปฏิวัติเฉินเฉียว ให้การหนุนเสริมจ้าวควงอิ้นขึ้นเป็นฮ่องเต้
จึงเปี่ยมด้วย “อำนาจ” ทาง “การทหาร” และเปี่ยมด้วย “บารมี” ในทาง “การเมือง” เป็นอย่างสูง
เมื่อเข้าใจได้ชัดแจ้ง แล้วจ้าวควงอิ้นจะบริหารจัดการอย่างไร

คํ่าคืนหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงของปีนั้นเอง จ้าวควงอิ้นได้จัดงานเลี้ยงขึ้นอย่างใหญ่โต ส่งเทียบไปยังสือโซ่วซิ่น หวังเสิ่นฉีและพวก
ให้เข้าร่วมในงานเลี้ยงอย่างเป็น “แขกพิเศษ”
ขณะกำลังเสพสุรากันอย่างครึกครื้นจ้าวควงอิ้นก็ทรงทอดถอนพระทัยแล้วรำพึงรำพันออกมา
“ถ้าข้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากพวกเจ้าก็คงจะไม่มีวันนี้ ทว่า เป็นฮ่องเต้ก็ยากเย็นเหลือเกินเป็นขุนนางธรรมดายังจะมีความสุขกว่าเสียด้วยซ้ำเพราะตั้งแต่เป็นฮ่องเต้ข้าไม่เคยนอนหลับสนิทแม้สักคืนเดียว”
เมื่อสือโซ่วซิ่น หวังเสิ่นฉี พากันแย่งทูลถามว่า “เป็นเพราะเหตุใด”
จ้าวควงอิ้นรับสั่งตอบว่า “พวกเจ้าลองคิดดู ตำแหน่งฮ่องเต้มีใครบ้างไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น
ข้าเฝ้าวิตกอยู่ตลอดเวลาว่าจะมีคนมาชิงแล้วจะนอนหลับได้อย่างไร”
ได้ยินเช่นนั้น สือโซ่วซิ่นและพวกรีบทูลถามด้วยความร้อนรน “เหตุใดพระองค์จึงตรัสเช่นนี้ตอนนี้บ้านเมืองก็มั่นคงใครจะกล้าคิดกบฏหาเรื่องตายกันเล่า”
ฮ่องเต้แย้มพระสรวลแล้วตรัส
“พวกเจ้าย่อมไม่ทำอย่างแน่นอน แต่ถ้าบรรดาบริวารของพวกเจ้าดึงดันจะเอาเสื้อคลุมมังกรมาสวมให้ บังคับให้พวกเจ้าก่อกบฏก็เหมือนกับที่พวกเจ้าร่วมทำกับข้าในครั้งก่อน
ถ้าเป็นเช่นนั้นเกรงว่าทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าแล้วละ”

สือโซ่วซิ่นและพวกลนลานทรุดกายลงกับพื้นโขกศีรษะประสานเสียงกราบทูลอย่างพร้อมเพรียงกัน
“พวกข้าพระองค์ล้วนโง่เขลาเบาปัญญา ไม่เคยคิดไปไกลถึงเพียงนั้น
หวังว่าฝ่าบาทจะทรงเห็นแก่ความจงรักภักดีที่พวกข้าพระองค์ติดตามฝ่าบาทมานานหลายปีโปรดทรงชี้ทางออกให้แก่พวกข้าพระองค์ด้วยเถิด”
ได้ยินเช่นนั้นแม้จ้าวควงอิ้นจะพอพระทัยแต่ก็แสร้งทำเป็นทอดถอนใจ
“เฮ้อ ชีวิตคนเราสั้นนัก สู้หาความสุขใส่ตัวจะดีกว่า ตัวข้านั้นคงไม่มีโอกาสอีกแล้ว เกิดมามีชะตากรรมที่ต้องลำบากไปตลอดชีวิต พวกเจ้าก็นับว่าประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง
แล้วไยพวกเจ้าไม่วางมือเสียเล่า”

ADVERTISMENT

ประโยคหลังอันมาจากจ้าวควงอิ้นเฉียบขาดอย่างยิ่งยวด “ไปซื้อไร่นาตามเมืองชายแดนเสพสุขอย่างสบายใจไม่ดีกว่าหรือ
นอกจากลูกหลานชนรุ่นหลังจะไม่ต้องทุกข์ใจกลัวความยากจนแล้ว
ยังทำให้ความหวาดระแวงระหว่างฮ่องเต้กับขุนนางหมดสิ้นไปอีกด้วย ทั้งเจ้าทั้งข้าต่างสบายใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย พวกเจ้าว่าดีหรือไม่”
ฟังมาถึงประโยคนี้พวกซือโซ่วซิ่นก็บังเกิดอาการ “ตาสว่าง”
ตาสว่างกระจ่างแก่ใจว่า ฮ่องเต้มีเป้าหมายอย่างไร ไม่ว่าจะยินดีหรือไม่ก็ได้แต่คุกเข่าลงขอบพระทัย
“ฝ่าบาทห่วงใยพวกข้าถึงเพียงนี้ มิเสียทีที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา”

ทุกอย่างล้วนดำเนินไปตามคำชี้แนะจากราชครูจ้าวผู่ครบถ้วน นั่นก็คือ การเรียกคืนอำนาจ ดึงกำลังทหาร กระชับอำนาจ
เพื่อแลกกับความสามารถในการหลับพระเนตรอย่างสนิท
เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่จ้าวควงอิ้นออกว่าราชการ สือโซ่วซิ่นและพวกก็พากันกราบบังคมทูลลาออกจากราชการ
อ้างว่ามีปัญหาในเรื่อง “สุขภาพ”
จ้าวควงอิ้นทรงอนุญาตอย่างเต็มตื้นในพระทัย ทรงปูนบำเหน็จเงินทองให้เป็นจำนวนมาก
จากนั้นอำนาจก็เป็นของ “ฮ่องเต้” อย่างสมบูรณ์

ADVERTISMENT

ขณะที่ “จัง ซิง แซ” สรุปเรียกอุบายนี้ว่าเป็นปฏิบัติการ “ข้ามสะพานดึงกระดาน” ในงานเลี้ยงระหว่างชนจอกสุรากันอยู่ก็ถูกเรียกคืนอำนาจ
เป็นยุทธวิธี “ชิงลงมือ”
ก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะตั้งตัวติด เป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม เพื่อขจัดภัยพิบัติที่อาจซ่อนแฝงอยู่
ประดิษฐ์ พีระมาน เรียกว่า “ขึ้นบ้านชักบันได”
แสร้งเปิดเผยจุดอ่อน ลวงให้เข้ามาติดกับในยุทธภูมิคับขัน ถูกปิดล้อม บุกไม่ได้ ถอยด้วยความยากลำบาก
จำต้องยอมจำนน พ่ายแพ้

จงใจเปิดจุดอ่อนให้เห็น สร้างเงื่อนไขและหลอกล่อให้เข้าตี ครั้นแล้วตัดขาดจากส่วนหน้าที่คอยสมทบ
และส่วนหลังอันเป็นกำลังหนุน
บีบให้เดินเข้าไปในปากถุงที่เปิดอ้าเสมือนเป็นการต้อนรับ หรือในวงล้อมหลุมพรางที่วางดักอยู่
แปร “ต้อนรับ” กลับกลายเป็นรับแล้ว “ต้อน”
บุญศักดิ์ แสงระวี ขมวดอย่างรวบรัดเป็นดั่งผลึกในทางความคิด “แสร้งเปิดทางสะดวก ส่อให้รุกเข้า ตัดการหนุนช่วย
ให้ถึงที่ตาย เจอพิษ มิควรที่”

คัมภีร์อี้จิง ว่าด้วย “ขบ” อรรถาธิบาย “เจอพิษมิควรที่” เปรียบประดุจเคี้ยวกระดูกหรือเนื้อเหนียว
รังแต่จะทำให้ฟันชำรุดเสียหาย
เหมือนดั่งมักได้ในสิ่งมิควรได้ ย่อมจะนำมาซึ่งความวิบัติฉิบหายนะแต่สถานเดียว
“ขึ้นบ้านชักบันได” ความหมายกว้าง
กระนั้น ในกลยุทธ์นี้ที่สำคัญคือ “บันได” จงใจให้เห็นจุดอ่อน มุ่งมั่นในการใช้จุดอ่อนนั้นให้เป็นประโยชน์
นี่ก็คือ “บันได”
ถ้าหากไม่มี “บันได” ก็ยากที่จะได้รับ “ผล”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image