ผู้เขียน | พลเอกนิพัทธ์ ทองเล็ก |
---|
ภูมิปัญญาผลิต (จรวด) บั้งไฟไทย
แง่คิด…มุมมอง ข้อสังเกต เรื่องของ “ภูมิปัญญา” ท้องถิ่น
มีคำถามจากผู้คนทั่วโลกว่า… กลุ่มติดอาวุธฮามาสเอาจรวดจำนวนมหาศาลมาจากไหน มายิงถล่มอิสราเอลแบบ “ห่าฝน”
คำตอบที่ สื่อ-หน่วยข่าวกรอง ต่างประเทศเฉลยคือ ผลิตขึ้นมาเองแบบแสวงเครื่อง กลุ่มฮามาสเก็บรวบรวมวัตถุโลหะทั้งหลายมาจากงานก่อสร้างของอิสราเอล โดยการรีไซเคิล มีลูกพี่มหาอำนาจส่งคนเข้ามาสอนการผลิต และบางส่วนลักลอบนำเข้ามาทางอุโมงค์ใต้ดินนับพันแห่ง
ความลำบากยากแค้น หากแต่เฉลียวฉลาด ต้องคิดหาทางสู้ ชีวิตที่ไม่มีทางเลือกทำให้กลุ่มฮามาสคิด ลงมือผลิตจรวดได้สำเร็จ
พ.ศ.2544 ชาวปาเลสไตน์ ชื่อ Tito Masoud และ Nidal Farhat ค้นคว้า ทดลองผลิตใช้จรวดรุ่นที่ 1 แล้วตามมาอีก 3 รุ่น หาวัสดุ คิดสูตรเชื้อเพลิงเอง
แบบแสวงเครื่อง
จรวดของฮามาส เริ่มยิงเข้าทางตอนใต้ของอิสราเอลจะถูกเรียกว่า “กัสซัม” (Qassams) โดยสื่อของอิสราเอล และโดยสื่อต่างประเทศ รุ่นแรกๆ ยิงไกล 2.5 กม.
ฮามาสเริ่ม “ปล่อยของ” ถล่มอิสราเอล
พัฒนา คิดค้นไปยิงใส่อิสราเอลมาตลอด มากบ้าง น้อยบ้าง พัฒนามาถึงรุ่นที่ 4 รุ่นนี้ยิงไกลถึง 100 กม.
“ฮามาส” เปิดเผยทางสื่อโซเชียล ผลิตอย่างไร ส่วนประกอบของจรวดมีอะไรบ้าง พัฒนามาแล้ว 4 รุ่น ยิงไกลขึ้น น้ำหนักเบาลง บรรทุกหัวระเบิดน้ำหนักมากขึ้น แม่นยำมากขึ้น อำนาจทำลายล้างสูงขึ้น ข้อสำคัญคือ ราคาถูก
ที่ยิงออกไปหลายพันลูก…เน้นปริมาณแบบ“ห่าฝน” สาดออกไปที่ชุมชนชาวยิวใกล้-ไกล…ด้วยเพราะจรวดแต่ละลูก “ต้นทุนต่ำ”
ฮามาสยิงจรวดไป พัฒนาไปเรื่อย หามาจากที่อื่นบ้าง ลักลอบเอาเข้ามา อิสราเอลรู้ดีว่า ข้าศึก “ใช้จรวดเป็นหลัก” จึงต้องคิดระบบ ป้องกันภัยทางอากาศ เรียกว่า Iron Dome เป็นจรวดที่ยิงขึ้นไปเพื่อชนกับจรวดของฮามาสบนฟ้า คุณภาพดี ไว้ใจได้
กลายเป็นสินค้าขายดีไปยังประเทศต่างๆ แต่ราคาสูงตามคุณภาพ
ที่นำประเด็นนี้มาพูดคุย เพื่อเปิดโลกทัศน์ เรียนรู้สังคมโลกนะครับ มิใช่เพื่อการสนับสนุนชี้ช่อง แต่ประการใด
สงครามในอดีตนับพันปีมาแล้ว การนำ “ลูกไฟ” ขึ้นไปในอากาศเพื่อให้ไปตกในหมู่ทหารข้าศึก ไปตกในเมือง เผาผลาญทุกสรรพสิ่งที่เป็นของข้าศึก เป็นการทำลายล้าง ภาพยนตร์เรื่อง “สามก๊ก” ใช้ธนูไฟยิงใส่กันมหาศาล
อยุธยาทำศึกกับพม่า…“ธนูไฟ” ถูกยิงไปในอากาศ ก็เป็นอาวุธของทุกฝ่ายที่ตั้งใจนำมาทำลายล้างกัน
จุดเปลี่ยนสำหรับสงครามบนโลกใบนี้คือ “ดินปืน” ที่มีหลักฐานว่า ชาวจีนคือผู้ค้นพบสูตรการผลิตมานับพันปีที่แล้ว (ฝรั่งก็อ้างว่าฝรั่งคิดได้ก่อน)
เรื่องใกล้ตัว ภูมิปัญญาที่อยู่ในบ้านเมืองเราในแดนอีสาน เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองผ่าน…“บั้งไฟ” ที่คนไทยในอดีต คิด ออกแบบ ผลิต และยิงอวดโฉมมานานหลายทศวรรษ
ประเพณี “บุญบั้งไฟ” ตามความเชื่อ เป็นการจัดขึ้นเพื่อบูชา “พระยาแถน” เพื่อพระยาแถนจะทำให้ฝนตก มนุษย์จะได้ทำนาและปลูกพืชต่างๆ ให้ได้ผลอุดมสมบูรณ์ มนุษย์จึงต้องส่งบั้งไฟเป็นตัวแทนไปบอกกล่าวแก่พระยาแถนว่า “มนุษย์ต้องการได้
น้ำฝนมาช่วยให้ช่วยปลูกพืชทำนาทำไร่ ขอให้พระยาแถนเปิดประตูฟ้าให้ฝนตกลงมา…”
นี่คือ ภูมิปัญญาที่คนไทยคิดผลิตจรวด เพื่อขอฝน ที่ผ่านมามีจรวดขึ้นไปบอก ทวงถามพระยาแถน ระยะใกล้ ระยะไกล
ที่เข้มแข็ง จริงจัง พัฒนาไม่หยุด ยิ่งใหญ่ คือ ประเพณีบุญบั้งไฟ จังหวัดยโสธร ณ สวนสาธารณะพญาแถน ซึ่งจะจัดขึ้นในวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมของทุกปี ด้วยความเชื่อที่ว่าเมื่อจัดงานนี้แล้วเทพยดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะดลบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์
จะทำอะไรให้สนุก ต้องมีการพนัน…มีกองเชียร์ มีเฮฮา มีดนตรี มีเครื่องดื่ม การแข่งขันที่ว่าบั้งไฟของใครจะขึ้นไปบนฟ้าได้สูงกว่ากัน คนที่อยู่บนพื้นดินได้แต่แหงนคอตั้งบ่า เอามือป้องแสงแดด ดูจากเส้นควันทางยาวบนฟ้า …แล้วมาเถียงกัน มีเฮฮา
12 มีนาคม 2563 ที่ฐานจุดบั้งไฟ เทศบาลตำบลฟ้าหยาด อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือจิสด้า (GISDA) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ไปถึงถิ่นบั้งไฟเพื่อติดตั้ง GPS ที่บั้งไฟ เป็นกรรมการตรวจวัดวิถีและความสูงของบั้งไฟเป็นครั้งแรก
ไปทำหน้าที่ตรงนี้ก็เพื่อความปลอดภัยในการเดินอากาศของอากาศยานทั้งหลายที่มีเส้นทางบินผ่าน
อันตรายนะครับ เพราะบั้งไฟรุ่นใหม่แหวกอากาศขึ้นไปได้สูงมาก ควบคุมทิศทางได้ไม่ชัดเจน วันนั้นมีการจุด รวม 12 บั้ง
จากการไปติดตั้งเครื่องวัดความสูง พบว่า “บั้งไฟแสน” มีพลังพุ่งขึ้นสูงไปถึง 5,500 เมตร ส่วน “บั้งไฟหมื่น” ทะยานขึ้นสูงไม่เกิน 1,000 เมตร ถือว่าเป็นอันตรายต่ออากาศยาน
จากสถิติที่พบเมื่อปี 2560 มีการแจ้งการจุดบั้งไฟมากถึง 19,520 บั้ง และมีนักบินพบเห็นบั้งไฟขณะทำการบินจำนวนมากกว่า 50 ครั้ง
“บั้งไฟกิโล” หมายถึง น้ำหนักของดินประสิว 1 กิโลกรัม
“บั้งไฟหมื่น” หมายถึง น้ำหนักของดินประสิว 12 กิโลกรัม
“บั้งไฟแสน” หมายถึง น้ำหนักของดินประสิว 120 กิโลกรัม
“บั้งไฟล้าน” หมายถึง น้ำหนักของดินประสิว 1,200 กิโลกรัม
ที่เรียบเรียงมาทั้งหมดนี้ เพื่อจะบอกว่า คนไทยก็ทำจรวดได้
กลับมาที่ประเด็นสงครามระหว่างอิสราเอล-ฮามาส ที่เป็นคู่สงครามมาหลายทศวรรษ อาวุธหลักที่ฮามาสพึ่งตนเอง คือ จรวด
แม้ว่าอิหร่านและซีเรียจะลักลอบขนจรวดไปยังฉนวนกาซาในอดีต แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่า…“จรวดส่วนใหญ่จะถูกผลิตเองในท้องถิ่น” หากแต่อิหร่านยังช่วยเหลือกลุ่มฮามาสและญิฮาดอิสลาม ในการจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานการผลิตจรวดในฉนวนกาซา
ฉนวนกาซาที่ปกครองโดยกลุ่มฮามาสซึ่งเป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนขนาด 360 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่ประชากรยากจน อยู่กันหนาแน่น มีทรัพยากรน้อย และเกือบถูกตัดขาดจากส่วนอื่นๆ ของโลกมาเกือบ 17 ปีแล้ว เมื่อกลุ่มฮามาสยึดอำนาจ ส่งผลให้อิสราเอลและอียิปต์ปิดล้อมดินแดนนี้อย่างเข้มงวด
“อิหร่าน” ที่เป็นพี่เบิ้มของมุสลิมในภูมิภาค ยังได้ช่วยเหลือกลุ่มฮามาสในด้านการผลิตในท้องถิ่น ซึ่งทำให้กลุ่มฮามาสสามารถสร้างคลังแสงของตนเองได้
เจ้าหน้าที่อาวุโสของกลุ่มฮามาสในเลบานอนเปิดเผยว่า “เรามีโรงงานในท้องถิ่นสำหรับทุกอย่าง สำหรับจรวดที่มีระยะ 250 กม. 160 กม. 80 กม. และ 10 กม. เรามีโรงงานสำหรับผลิตปืนครกและกระสุน… เรามีโรงงานผลิตปืน AK 47 และกระสุน เรากำลังผลิตกระสุนโดยได้รับอนุญาตจากรัสเซีย เรากำลังสร้างมันในฉนวนกาซา”
วิธีที่กลุ่มฮามาสจัดหาวัตถุดิบสำหรับอาวุธพื้นเมืองเหล่านั้นยังแสดงให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดและความรอบรู้ของกลุ่มอีกด้วย
ในดินแดนกาซา ไม่มีอุตสาหกรรมหนักใดที่จะสนับสนุนการผลิตอาวุธ อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ สิ่งทอ การแปรรูปอาหารและเฟอร์นิเจอร์
ฮามาสมุ่งหา “เศษเหล็ก” ซึ่งสามารถนำไปใช้ผลิตอาวุธ โดยขนผ่านอุโมงค์ใต้ดิน
สงครามย่อยๆ ที่ผ่านมา โครงสร้างพื้นฐาน อาคาร สถานที่ในกาซาถูกทำลายจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล สิ่งที่เหลืออยู่ เช่น แผ่นโลหะและท่อโลหะ เหล็กเส้น สายไฟ กลายเป็นของมีค่าที่ถูกส่งเข้าไปในโรงปฏิบัติงานอาวุธของฮามาส โดยปรากฏเป็นท่อจรวดหรืออุปกรณ์ระเบิดอื่นๆ
สิ่งที่น่าประหลาดใจ สำหรับสงครามจรวดครั้งนี้ …คือวิธีที่ฮามาสสามารถจัดเก็บ เคลื่อนย้าย ติดตั้ง และยิงจรวดหลายพันลูกโดยหลบเลี่ยงหน่วยข่าวกรองของอิสราเอล ได้อย่างไร
ขอย้ำอีกครั้งนะครับ ผู้เขียนมิได้สนับสนุนเห็นชอบ กับการทำสงครามที่ทำลาย ทำร้ายชีวิตมนุษย์ ทุกชาติทุกภาษา ศึกครั้งนี้ทำเอาคนไทยที่ไปทำงานในอิสราเอลต้อง “ขอกลับบ้าน” จำนวนมากที่สำคัญคือ มีบาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหาย
ขอภาวนาให้สงครามไม่ขยายตัวออกไป และยุติลงในเร็ววัน