ผู้เขียน | เสถียร จันทิมาธร |
---|
นี่เป็นบทเรียนจาก “ปิ่งจี๋” อัครเสนาบดีในยุคของฮั่นชวนตี้
ได้รับการยกย่องว่า ยึดถือหลักการ รู้อะไรควร ไม่ควร ทั้งยังมีน้ำใจโอบอ้อมอารี ไม่เรียกร้องอะไรจากบุคคลอื่นเกินขอบเขต
โดยเฉพาะกับผู้ใต้บังคับบัญชา
กับลูกน้องที่ทำงานดี ก็จะยกย่อง ชมเชย ขณะเดียวกัน หากทำงานผิดพลาดขอเพียงอภัยได้ก็อภัยให้
ไม่ถือสา ต่อความยาว
ปิ่งจี๋มีคนขับรถม้าอยู่คนหนึ่ง เชี่ยวชาญในการขับรถม้าเป็นอย่างมาก ความประพฤติทั่วไปก็ไม่มีปัญหาอะไร มีข้อเสียอยู่เรื่องเดียว
คือ ชมชอบเสพสุรา และมักดื่มจนเมามาย ไร้สติ
ครั้งหนึ่ง ปิ่งจี๋มีเรื่องด่วนต้องออกไปข้างนอกจึงเรียกใช้บริการคนขับรถโดยไม่รู้ว่าเขาดื่มสุราเมาอยู่ก่อนแล้ว
ขณะรถวิ่ง คนขับก็อาเจียนออกมา ทำให้รถสกปรก เลอะเทอะ
เมื่อเป็นเช่นนั้นคนขับรถก็ตกใจด้วยเกรงจะถูกลงโทษ เป็นความตกใจกระทั่งทำอะไรไม่ถูก
เงอะงะ เงอะงะ
ปิ่งจี๋เห็นเช่นนั้นกลับไม่ได้ว่ากล่าวอะไรมาก เพียงบอกให้คนขับรถม้าทำความสะอาดรถ
เสร็จแล้วให้รีบเดินทางต่อ
เมื่อเสร็จธุระกลับถึงจวนความทราบถึงพ่อบ้านก็โกรธเป็นอย่างมาก เรียกคนขับรถมาด่าว่าอย่างรุนแรง
ทั้งรายงานปิ่งจี๋ “ใต้เท้า คนขับรถคนนี้ใช้ไม่ได้ ไล่ออกไปเสียดีกว่า”
ได้ฟังเช่นนั้นปิ่งจี๋ส่ายหน้า “อย่าให้ถึงเพียงนั้นเลย เพราะเมาเขาจึงทำผิดพลาด เรื่องเพียงเท่านี้ถ้าไล่ออกจะให้ไปอยู่ที่ไหน ก็แค่ทำเรื่องสกปรกเท่านั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
ให้อภัยก่อนก็แล้วกัน ข้าเชื่อว่าเขาจะปรับปรุงตัว”
เป็นอันว่าเรื่องไล่ออกจบ เป็นอันว่าคนขับรถยังทำงานต่อไป
ณ เบื้องหน้าการตัดสินใจเช่นนี้ของปิ่งจี๋ “จังซิงแซ” ถอดความออกมาว่า คนขับรถรู้ว่าเป็นเพราะความมีน้ำใจโอบอ้อมอารีของท่านเสนาบดีตนจึงไม่ถูกไล่ออก
ก็รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
ตั้งใจว่าจะต้องหาทางสนองคุณท่านเสนาบดีให้ นับแต่นั้นก็ตั้งอกตั้งใจทำงานมากขึ้น
สุราก็ดื่มน้อยลง
คนขับรถผู้นี้เดิมเป็นคนแถบชายแดน คุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่เดินสารแจ้งข่าวด่วนจากชายแดน วันหนึ่งขณะเขาเดินอยู่บนถนนฉางอันบังเอิญเห็นเจ้าหน้าที่เดินสารจากชายแดนควบม้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ก็คาดเดาได้ว่าที่ชายแดนคงมีเรื่องร้อนด่วนอะไรเกิดขึ้น
คนขับรถม้าจึงรุดไปยังจุดพักคนเดินสาร และก็จริงดังคาด คนเผ่าซงหนูได้รุกมายังเมืองหวินจงและเมืองไต้
ทราบข่าวก็นำความไปแจ้งแก่ท่านอัครเสนาบดี
ปิ่งจี๋ทราบดีว่าฮ่องเต้จะต้องมีรับสั่งให้ตนเข้าวังเพื่อหารือ จึงเรียกผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาหารือ
1 รายละเอียดพื้นที่ 1 หาวิธีที่จะรับมือ
เพียงไม่นานก็มีรับสั่งให้ปิ่งจี๋และขุนนางฝ่ายการทหารเข้าเฝ้าหารือเรื่องแผนการช่วยเหลือเมืองชายแดน
ปิ่งจี๋ซึ่งมีแผนอยู่แล้วจึงกราบทูลได้อย่างสมบูรณ์พร้อม
ขณะที่ขุนนางคนอื่นรับทราบเรื่องกะทันหัน เข้าวังในลักษณะ “มือเปล่า” ทั้งมิได้เข้าใจสถานการณ์
จึงไม่สามารถแสดงความคิดเห็นอะไรได้ในเวลาอันสั้น
เมื่อฮ่องเต้มีราชโองการ ทุกคนก็เดินออกจากราชสำนัก เหล่าขุนนางล้วนแสดงความเลื่อมใสต่อปิ่งจี๋
“เบื้องหน้าเสียงยกย่องนั้น” ปิ่งจี๋กล่าว
“ขอบอกกับทุกท่านตามตรง เรื่องในวันนี้เป็นเพราะคนขับรถม้าของข้ารู้ข่าวนี้เข้าจึงได้มาบอกกับข้า
ทำให้มีเวลาเตรียมการล่วงหน้า
เมื่อก่อนคนขับรถม้าผู้นี้เคยทำความผิดแต่ข้าก็ให้อภัยไม่ถือโทษโกรธเขา เขาจึงได้ทำความดีตอบสนองข้าในวันนี้”
พูดถึงตรงนี้ปิ่งจี๋ก็ทอดถอนใจ
“เพราะเหตุนี้เองจึงอยากบอกกับทุกท่านว่า ทุกคนต่างก็มีข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัวด้วยกันทั้งนั้น พวกเราควรพยายามอดกลั้นต่อความผิดพลาดของผู้อื่น ลองคิดดูถ้าในตอนนั้นข้าไม่ให้อภัยคนขับรถและไล่เขาออก
ในวันนี้ข้าจะยังได้รับความชมเชยจากฮ่องเต้หรือ”
ในบทสรุปของ “จัง ซิง แซ” น้ำใสเกินไปก็ไม่มีปลาคนฉลาดเกินไปย่อมไร้ผู้ติดตาม น้ำใสสะอาดเกินไปปลาก็ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้
คนฉลาดเกินไป ใส่ใจแม้เรื่องเล็กน้อย ก็ย่อมไม่มีใครอยากอยู่ด้วย
มีภาษิตกล่าวว่า “ทองไม่มีที่เนื้อเต็ม คนไม่มีที่ดีพร้อม” ถ้าเข้มงวดเกินไปในทุกเรื่อง เรียกร้องต่อบุคคลอื่นจนเกินขอบเขต ไม่ยอมลดราวาศอกให้
แล้วจะมีใครอยากอยู่ด้วยเล่า
ความไม่สมบูรณ์ในลักษณะละม้ายแม้นกันเช่นนี้ในประวัติศาสตร์จีนมีตัวอย่างให้ศึกษามากมาย
ดำเนินไปในลักษณะ “ครูด้านกลับ”
ฮั่นเกาจู่ทรงมอบหมายหน้าที่สำคัญให้เฉินผิงผู้ถูกประณามว่าผิดประเวณีกับพี่สะใภ้ ผลต่อมาเป็นอย่างไร
เฉินผิงมีส่วนช่วยฮั่นเกาจู่ยึดครองแผ่นดินจนได้ในที่สุด
ตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุด “จัง ซิง แซ” ยกกรณีของเมิ่งฉางจวินแห่งแคว้นฉี มีที่ปรึกษาอยู่คนหนึ่งถึงกับกล้าลักลอบมีความสัมพันธ์กับภรรยาของเมิ่งฉางจวิน
มีคนนำเรื่องไปฟ้องและเสนอให้สังหาร
เมิ่งฉางฉวินฟังแล้วก็ยิ้ม “หญิงชายถูกตาต้องใจกันเป็นเรื่องธรรมดาจะถือสาหาความไปทำไม”
ผลที่ปรากฏในภายหลังน่าศึกษา
เมื่อทราบเรื่องแล้วทางออกของเมิ่งฉางจวินก็คือ แทนที่จะสังหารกลับนำที่ปรึกษาผู้นี้ไปถวายตัวอยู่กับราชสำนักเว่ย
เมื่อแคว้นเว่ยจะร่วมกับแคว้นอื่นยกทัพตีแคว้นฉี
ที่ปรึกษาผู้นี้ได้เข้าขัดขวาง โดยหาวิธีขู่ขวัญฮ่องเต้แคว้นเว่ยว่า จะทำให้ตายตกไปด้วยกัน
ฮ่องเต้แคว้นเว่ยจึงเลิกล้มความคิดจะร่วมตีแคว้นฉี
คนแคว้นฉีทราบเรื่องนี้เข้าก็พากันสรรเสริญว่าเป็นเพราะความใจกว้างกับผู้อื่นของเมิ่งฉางจวิน
สถานการณ์ “ร้าย” ก็กลายเป็น “ดี”
ไม่ว่ากรณีของปิ่งจี๋ ไม่ว่าสถานการณ์ของเผิงเจิน ไม่ว่าสถานการณ์ ณ เบื้องหน้าเมิ่งฉางจวิน
1 เป็นท่าทีต่อความผิดพลาด
ขณะเดียวกัน 1 เป็นท่าทีที่มองข้ามความผิดพลาด ให้โอกาสในการปรับตัวและแก้ตัว
จากเรื่องส่วนตัวก็เป็นผลดีกับเรื่องของส่วนรวม