ว่ากันว่าการเดินทางคือการศึกษาที่ดีที่สุดและเป็นประสบการณ์ในโลกแห่งความจริง การเรียนรู้ที่จะโบยบินออกจากสิ่งที่เป็นอยู่แบบเดิมๆ บางคนไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะเดินทางไปที่ไหน ได้อะไรบ้าง
แต่แค่ว่าระหว่างทางขอให้สนุก มีความสุข และพบเจอกับคนดีๆ สิ่งดีๆ เท่านี้ก็พอ เหมือนกับการเดินทางครั้งนี้ที่คิดเพียงว่า “อยากไปเมืองจีน” แต่ไม่นึกว่าจีนที่ไปจะเป็น “จางเจียเจี้ย” เมืองที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกรู้จักกันดี จากภาพยนตร์เรื่อง “อวตาร” (Avatar) หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของ เจมส์ คาเมรอน
ทำความรู้จักกับจางเจียเจี้ยก่อนว่าเป็นนครระดับจังหวัดในมณฑลหูหนาน ประเทศจีน มีทั้งหมด 4 เขต ได้แก่ หย่งติ้ง อู่หลิงเหวียน อำเภอฉือลี่ และอำเภอซางจื๋อ สำหรับเขตอู่หลิงเหวียน ยูเนสโกจัดให้เป็นหนึ่งในมรดกโลก และกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีนจัดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับ 5A ซึ่งหมายถึงสวยและสำคัญที่สุด

76% ของเมืองเป็นพื้นที่ภูเขาสูง หุบผาลึก จึงมีทิวทัศน์งดงามแปลกตา เมื่อก่อนใครจะเดินทางไปจางเจียเจี้ยลำบากมากต้องขับรถอ้อมภูเขา ผ่านหมู่บ้านชนบทกันดารซึ่งเลี้ยงไก่ไว้เยอะมาก จนมีเรื่องเล่าว่าคนขับรถไปจางเจียเจี้ยไม่ค่อยมีใครอยากไป เพราะกลัวจะขับชนไก่ชาวบ้านตาย ถือเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะถ้าไก่ที่ตายเป็นตัวเมีย ต้องจ่ายเงินมากกว่าตัวละ 500 หยวน แต่ปัจจุบันมีทางด่วนเจาะทะลุภูเขาวิ่งระหว่างเมืองแล้ว เดินทางสะดวกง่ายดายไม่ต้องขับรถฝ่ากลางหมู่บ้าน คนขับรถไปจางเจียเจี้ยจึงแฮปปี้กว่าแต่ก่อน
“มีน” มัคคุเทศก์หนุ่มชาวจีนเล่าว่า ประชากรส่วนใหญ่ของจางเจียเจี้ยคือชนเผ่าถูเจีย และเผ่าเหมียวหรือแม้ว อาหารการกินของคนที่นี่จะชอบรสเค็ม ไกด์หนุ่มพูดติดตลกว่า ยิ่งเค็มก็ยิ่งรวย เพราะมีเกลือเยอะ อาจเป็นอย่างที่ไกด์ว่า เนื่องจากสมัยก่อนเกลือเป็นของหายาก การขนส่งก็ยาก ทั้งการเก็บรักษาก็ไม่ง่าย ถ้าเก็บไม่ดีก้อนเกลือก็ขึ้นรา หรือโดนน้ำเกลือก็ละลาย จึงทำให้ใครที่มีเกลือมากถือเป็นคนรวย
นอกจากชอบกินเค็มแล้วคนที่นี่ยังกินเผ็ด มาจากสภาพอากาศบริเวณนี้มีฝนตก 200 วันในหนึ่งปี ทำให้อากาศชื้น เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วย ชาวจางเจียเจี้ยจึงชอบกินรสเผ็ด เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นและไล่ความชื้น อาหารที่นี่ไม่เน้นความอร่อย แต่ขอให้อิ่ม เราจึงเห็นอาหารเป็นแบบปรุงง่ายๆ ไม่พิถีพิถัน บนโต๊ะอาหารทุกมื้อขาดไม่ได้ต้องมี ฟักทองต้ม หรือข้าวโพดต้ม ส่วนอาหารขึ้นชื่อประจำถิ่นยกให้ “หมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดง” เมนูเด็ดที่ใครไปต้องห้ามพลาด ไกด์เล่าว่า เป็นเมนูโปรดอย่างมากของ ประธานเหมา เจ๋อตุง และยังยกให้เป็น 1 ใน 10 อาหารจานคลาสสิกประจำมณฑลหูหนาน ด้วยรสชาติของหมูสามชั้นที่ทั้งหวาน เค็ม และเผ็ดอ่อนๆ กลมกล่อมกินแล้วไม่เลี่ยน นิ่มหนึบหนับละลายในปาก ส่วนผลไม้ เมืองจางเจียเจี้ยเป็นแหล่งปลูกกีวีและพุทราจีน โดยเฉพาะกีวีของที่นี่จะอร่อยกว่าที่อื่น แต่ต้องเป็นกีวีเนื้อข้างในสีเหลืองและมีไส้สีแดงเท่านั้น

มองจากระเบียงกระจก ปัจจุบันปิดไม่ให้ใช้
เราเริ่มต้นทำความรู้จักกับจางเจียเจี้ยที่แลนด์มาร์กแห่งใหม่ของเมือง เพิ่งสร้างได้ 2-3 ปี เรียกว่า “ตึก 72 ชั้น” ความจริงมี 36 ชั้น ห้องแต่ละยูนิตมี 2 ชั้น เลยเป็น 72 คอนเซ็ปต์ของการสร้างตึกหลังนี้เลียนแบบมาจาก “ประตูสวรรค์” แห่งเขาเทียนเหมิน คนสร้างยังนำเอาเอกลักษณ์โดดเด่นต่างๆ ของชาวถูเจียมารวมไว้ด้วย ตึก 72 ชั้นต้องไปเวลากลางคืนเท่านั้น เริ่มตั้งแต่หกโมงเย็นเป็นต้นไป จึงเห็นการประดับไฟแสงสีอลังการสวยงาม ก่อนเข้าไปในตัวอาคารต้องซื้อบัตรผ่านประตู การเข้า–ออกก็เป็นคนละทาง ส่วนข้างในเป็นแหล่งรวมรีสอร์ต โฮมสเตย์ แผงสตรีทฟู้ด ผับ ร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึก เสน่ห์ของตึก 72 ชั้น ยังเป็นแหล่งรวมของกินที่เราเห็นในซีรีส์จีนทั้งหลาย ตั้งแต่ถังหูลู่ ขนมน้ำตาลปั้นเป็นรูปสัตว์ต่างๆ เซาปิ่ง ขนมกุ้ยฮวา เหล้านารีแดง ไปจนถึง เต้าหู้เหม็น ที่ต้องบอกว่าเหม็นจริง! ใครไม่คุ้นอาจเป็นลมหมดสติได้ นอกจากอาหารการกินแล้ว ภายในตึกยังมีการแสดงโชว์ต่างๆ ด้านวัฒนธรรมด้วย
อากาศยามเช้าของเมืองจางเจียเจี้ยปลอดโปร่งแจ่มใส ไม่มีมลพิษ เพราะที่นี่รัฐบาลบังคับให้ใช้รถไฟฟ้าในการขนส่งมวลชน เช้านี้ไม่มีฝน ซึ่งใครๆ ต่างบอกว่าเราโชคดี เพราะส่วนมากฝนตกแทบทุกวัน จนทำลายอรรถรสของการเที่ยวไปอย่างน่าเสียดาย วันนี้มุ่งหน้าสู่เมืองโบราณเก่าแก่อายุกว่า 2,000 ปี เมือง “ฟู่หรง” หรือฟู่หรงเจิ้น เมืองที่มีน้ำตกอยู่กลางเมือง มองดูจากที่ไกลๆ เหมือนหมู่บ้านตั้งอยู่บนหน้าผาสูง ทิวทัศน์สวยงามราวภาพวาด ไกด์มีนหัวหน้าคณะแจกแจงความเป็นมา ว่าฟู่หรงเป็นเมืองชนเผ่าถูเจีย เดิมเรียกหมู่บ้าน “หวังชุน” มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก หรือ 202 ปีก่อนคริสต์ศักราช ตัวหมู่บ้านตั้งอยู่บนหน้าผาน้ำตกหวังซุน บ้านเรือนเป็นสถาปัตยกรรม “เตียวเจียโหลว” ของชาวถูเจีย คือมีหลังคาไม้ กำแพงหิน และงานแกะสลัก เมื่อมาฟู่หรงเจิ้น กิจกรรมที่พลาดไม่ได้ต้องเดินลงไปด้านล่างหมู่บ้านเพื่อลอดผ่านน้ำตก เมืองโบราณแห่งนี้ชาวถูเจียอาศัยอยู่จริงเป็นปกติ เปิดเป็นร้านค้า โรงแรมที่พัก ร้านขายอาหาร เมืองฟู่หรงเคยใช้เป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ฟู่หรงเจิ้น จึงเปลี่ยนชื่อเมืองจากเดิมเป็นตามชื่อของหนังรวมทั้งชื่อน้ำตกก็เปลี่ยนด้วย ท่าเรือของเมืองมีความสำคัญมาแต่อดีต ในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นยุคที่การค้าขายทางน้ำเจริญรุ่งเรือง ว่ากันว่าร้านค้าที่เมืองนี้มีมากกว่า 500 ร้านเลยทีเดียว

เมืองโบราณอีกแห่งที่ไปเยือนชื่อ “เฟิ่งหวง” หรือเมืองหงส์ อยู่ริมแม่น้ำถัวเจียง มีรูปปั้น “นกฟีนิกซ์” เป็นสัญลักษณ์ ชุมชนเป็นบ้านจีนโบราณยกพื้นสูงเรียงรายอยู่ริมแม่น้ำ ที่นี่ชาวบ้านยังอาบน้ำ ซักผ้า ล้างผักอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ส่วนมากแล้วนักท่องเที่ยวนิยมนั่งเรือล่องแม่น้ำชมทัศนียภาพสองฟากฝั่ง ฟังเสียงร้องเพลงพื้นเมืองของคนพายเรือ เป็นเวนิสแห่งจีนโดยแท้
หากพูดถึงไฮไลต์แห่งจางเจียเจี้ย ต้องยกให้ “เทียนเหมินซาน” ภูเขาแห่ง “ประตูสวรรค์” ซึ่งเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในจีนและสูงที่สุดในจางเจียเจี้ย อีกทั้งยังได้ชื่อว่า “สุดยอดภูเขาศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งหูหนาน” เทียนเหมินซานอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล ราว 1,500 เมตร ที่เรียก “ประตูสวรรค์” เป็นเพราะยอดเขาเป็นช่องทะลุขนาดใหญ่เหมือนซุ้มประตู ยิ่งถ้ามองจากด้านล่างขึ้นไปเห็นท้องฟ้ากระจ่าง เป็นความงดงามราวกับทางขึ้นไปสวรรค์จริงๆ การขึ้นไปบนเทียนเหมิน มีเคเบิลคาร์ที่ยาวถึง 7.5 กิโลเมตรไว้บริการ หรือถ้าใครต้องการทดลองความฟิตของพลังขาสามารถเดินขึ้นไปทางบันไดได้ ซึ่งมี 999 ขั้น
อีกแห่งของจางเจียเจี้ยที่สุดยอดไม่แพ้กัน “อุทยานแห่งชาติอู่หลิงเหวียน” เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของจีนมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1982 ก่อนจะได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติในปี ค.ศ.1992 โดยมีพื้นที่กว่า 369 ตารางกิโลเมตร มีภูเขา “เทียนจื่อซาน” อันโด่งดัง ความสูง 1,250 เมตรจากระดับน้ำทะเล ลักษณะของภูเขาแห่งนี้เรียกกันว่า “ป่าเขา” เพราะภูเขาแต่ละลูกจะเป็นแท่งสูงพุ่งขึ้นไปในอากาศ เป็นทิวทัศน์พิเศษที่ไม่เหมือนใคร ข้อมูลระบุว่ามียอดเขาในนี้กว่า 3,000 ยอด สำหรับยอดเขาที่รู้จักกันดีคือ “หวงซือจ้าย” หรือ “ภูเขาลอยฟ้าฮาลีลูยา” ฉากถ่ายทำภาพยนตร์อวตารหมู่บ้านของนางเอกในเรื่อง ที่นี่ยังมี “สะพานหนึ่งในใต้หล้า” เป็นจุดเช็กอินอีกแห่งที่คนรอคิวกันยาวเหยียด นอกจากไฮไลต์ที่กล่าวมาแล้ว ในอุทยานแห่งชาติอู่หลิงเหวียนยังมีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจอื่นๆ อีกมากมาย
ช่วงวันสุดท้ายของการเดินทางก็ยังโชคดี ฟ้ายังคงปลอดโปร่งแจ่มใส เป็นโอกาสให้ได้ล่องเรือชมความงามของทะเลสาบ “เป่าเฟิงหู” ที่น้ำในทะเลสาบเขียวราวกับสีของหยก สะท้อนยอดเขาในน้ำ เป็นความรื่นรมย์ในความสงบ สิ่งพิเศษของการล่องเรือที่นี่เป็นเสียงกู่ก้องร้องเพลงของหนุ่มสาวชาวถูเจีย แล้วโบกมือต้อนรับนักท่องเที่ยว สร้างบรรยากาศได้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู
จางเจียเจี้ย อาจเรียกได้ว่าเป็นภาพสะท้อนเมือง อื่นๆ ในประเทศจีน ที่ทำให้ผู้คนไปเยือนได้เห็นว่า เมืองจีนปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงพัฒนาไปมากแล้ว ไม่ใช่อย่างที่เคยเล่าขานกันในอดีต รัฐบาลจีนได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจนกลายเป็นเมืองที่ทันยุคทันสมัย ความทุรกันดารค่อยๆ หมดไป แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งบรรยากาศของเมืองเก่ายุคโบราณ เป็นเสน่ห์ของธรรมชาติที่ดึงดูดผู้คนให้เดินทางไปค้นหาไม่สิ้นสุด
กรรณิการ์ ฉิมสร้อย