ดุลยภาพ ดุลพินิจ : หาบเร่แผงลอย ใครว่าไม่สำคัญ

ดุลยภาพ ดุลพินิจ : หาบเร่แผงลอย ใครว่าไม่สำคัญ

คนไทยคุ้นเคยกับหาบเร่แผงลอยตั้งแต่เล็กจนโต แต่อาจไม่ตระหนักถึงความสำคัญต่อชีวิต เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของเราเท่าที่ควร ผู้เขียนจึงขอเอามะพร้าวมาขายสวนสำหรับท่านที่ทราบดีแล้ว

หาบเร่แผงลอย หมายถึง การค้าข้างทาง 2 แบบ คือ “หาบเร่” ที่เคลื่อนที่ได้ ปัจจุบันใช้รถเข็น รถจักรยาน รถพุ่มพวง เรือเร่ขายด้วย ส่วน “แผงลอย” หมายถึงการค้าในลักษณะตั้งแผง แคร่ แท่น โต๊ะ เสื่อ หรือผ้าพลาสติก ที่ “แบกะดิน” รวมทั้งรถกระบะเปิดท้ายขายของ หรือรถขายอาหารที่จอดประจำ

หาบเร่แผงลอยซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดจิ๋ว (Micro-enterprise) เป็นจักรกลสำคัญในการลดปัญหาความยากจน การว่างงาน และความเหลื่อมล้ำด้านรายได้
ธุรกิจขนาดจิ๋วนี้เป็นตัวช่วยลดความรุนแรงของวิกฤตเศรษฐกิจทั้ง “ต้มยำกุ้ง” ในปี 2540 “แฮมเบอร์เกอร์” ในปี 2551 และโควิด-19 ในช่วง 2563-2566 สำหรับวิกฤตโควิด-19 ที่เพิ่งผ่านพ้นนั้น หลายประเทศใช้การค้าแผงลอยเป็นเครื่องมือในการสร้างงาน กระตุ้นการผลิต
และการบริโภคและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ในประเทศจีน เมืองขนาดใหญ่หลายเมือง รวมถึงนครเป่ยจิง ซ่างไห่ เฉิงตู หนานจิง กลับมาสนับสนุนการค้าแผงลอย เพื่อให้ประชาชนรวมทั้งบัณฑิตจบใหม่นับแสนคนมีงานทำ ลดแรงกดดันทางสังคม ในสหรัฐอเมริกา นครนิวยอร์กก็ประกาศเพิ่มใบอนุญาตประกอบการค้าแผงลอย ส่วนในประเทศไทย คณะที่ปรึกษาด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เสนอให้มีการบริหารจัดการหาบเร่แผงลอยเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจแต่ข้อเสนอนี้ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากกรุงเทพมหานคร (กทม.)

ADVERTISMENT

หาบเร่แผงลอยเป็นที่รวมของกิจกรรมทั้งในกระบวนการผลิตและการค้าที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบในลักษณะโครงข่ายและห่วงโซ่มูลค่าที่กระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ ในรูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ มีการจ้างงานจำนวนมาก หาบเร่แผงลอยอาหาร หรือ Street foods ยังเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าด้านการท่องเที่ยวซึ่งทำให้เกิดทั้งการจ้างงานต่อเนื่องและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม หาบเร่แผงลอยเชื่อมโยงเศรษฐกิจชนบทกับเมือง เศรษฐกิจฐานรากกับเศรษฐกิจกระแสหลัก เนื่องจากใช้วัตถุดิบที่ผลิตในท้องถิ่น

ในปี 2562 ประเทศไทยมีหาบเร่แผงลอย 8 แสนราย อยู่ใน กทม. 1.4 แสน และนอก กทม.อีก 6.6 แสนราย (Poonsab et al 2019) แยกออกเป็น street foods 4.3 แสนราย และสินค้าอื่นๆ 3.8 แสนราย ขณะที่กรรมาธิการการแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำของวุฒิสภาประมาณการว่า ในปี 2561 ผู้ค้าแผงลอยใน กทม.มีกว่า 1.7 แสนคน สร้างมูลค่าเศรษฐกิจทางตรงอย่างน้อย 67,728 ล้านบาท

ADVERTISMENT

หาบเร่แผงลอยสร้างผู้ประกอบการขนาดจิ๋วตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน ผู้ประกอบอาชีพหาบเร่แผงลอยอาจจัดฐานะทางเศรษฐกิจได้ 3 ระดับคือ ระดับยังชีพ มีเงินออม และมีเงินออมและประสงค์ขยายการประกอบอาชีพ อาชีพนี้จึงเป็นทั้งกลยุทธ์เพื่อการอยู่รอดของผู้ค้ารายได้น้อย และเป็นเครื่องมือในการเลื่อนฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม ผู้ค้าจำนวนไม่น้อยมีศักยภาพก้าวไปสู่การประกอบการขนาดใหญ่ขึ้น หาบเร่แผงลอยที่เคยเป็นอาชีพของแรงงานที่มีทางเลือกจำกัดกลายเป็นอาชีพอิสระที่ผู้คนสมัครใจเข้าสู่อาชีพมากขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงของกระบวนทัศน์การจ้างงานในระดับโลกซึ่งสำหรับประเทศไทยมีความชัดเจนขึ้นหลังทศวรรษที่ 2550 และคนรุ่นใหม่ต้องการประกอบอาชีพอิสระมากกว่าเป็นลูกจ้าง

ในแง่หนึ่ง การคงอยู่และขยายตัวของการค้าหาบเร่แผงลอยนอกจากจะเป็นผลจากอุปสงค์ต่อสินค้าโดยเฉพาะอาหาร และอุปทานด้านแรงงานแล้ว ยังเป็นผลจากความเอื้ออำนวยของบริบทเมือง ทั้งลักษณะกายภาพ ระบบขนส่งมวลชนที่ยังมีข้อจำกัด ทำให้หาบเร่แผงลอยตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้คนในเมืองใหญ่ เพราะอำนวยความสะดวกและช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ประกอบกับมิติทางวัฒนธรรม “การบริโภคในที่สาธารณะ” หรือ Public eating สินค้าที่ขายก็สะท้อนทุนทางวัฒนธรรม ทั้งวัฒนธรรมอาหาร รวมถึงงานฝีมือประเภทต่างๆ ในมิติสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ค้าและผู้ซื้อ แม้ในหลายกรณีจะไม่ใช่ “เจ้าประจำ” แต่ก็ทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่าง “มนุษย์” ซึ่งมีความสำคัญยิ่งในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามาแทนที่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์มากขึ้นเป็นลำดับ Street foods ยังช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหารให้ประชาชน รวมถึงเป็น Soft power ระดับโลก นอกจาก street foods หาบเร่แผงลอยยังเป็น
แหล่งช้อปปิ้งสินค้าเครื่องใช้ เสื้อผ้าและเครื่องประดับที่นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศนิยม

กรณีศึกษาใน กทม.ในปี 2561 ระบุว่า หากไม่มีแผงลอยอาหาร ผู้บริโภคต้องจ่ายค่าอาหารเพิ่มขึ้นเดือนละ 357 บาท ส่วนงานศึกษาในปี 2564 ระบุว่า Street foods มีบทบาทสำคัญต่อผู้บริโภคทุกระดับรายได้ ผู้บริโภคซื้ออาหารข้างทางเป็นประจำเฉลี่ย 12.2 มื้อต่อสัปดาห์ จาก 21 มื้อ ผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยให้ความสำคัญต่ออาหารข้างทางน้อยกว่าผู้บริโภคที่มีรายได้สูงกว่า ผู้บริโภคทุกระดับได้รับผลกระทบจากการไล่รื้อแผงลอย

แต่ในอีกแง่หนึ่ง ก็มีผู้มองหาบเร่แผงลอยเป็นปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กทม. ที่ระบุว่า “หาบเร่แผงลอยเป็นปัญหาที่เรื้อรังมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก่อให้เกิดผลเสียต่างๆ มากมายทั้งในด้านประสิทธิภาพและสุนทรียภาพต่อชุมชนเมือง ทั้งยังส่งเสริมค่านิยมที่ไม่ดีในด้านการรักษาและเคารพสิทธิหน้าที่ในสังคม …” (รายงานของคณะกรรมการวิสามัญศึกษาแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดระเบียบหาบเร่แผงลอยในทางเท้าและที่สาธารณะ กทม. พ.ศ.2561)

มุมมองและปฏิกิริยาของ กทม. จัดได้ว่าเป็นภัยคุกคามที่ใกล้ตัวหาบเร่แผงลอยที่สุดในปัจจุบัน แต่หาบเร่แผงลอยยังมีภัยคุกคามอยู่หลายประการ อาทิ การแข่งขันกับทุนขนาดใหญ่ที่มาในรูปแบบต่างๆ การขยายตัวของร้านสะดวกซื้อ และบริการส่งอาหารถึงบ้านที่แย่งลูกค้าไปมาก การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ โรคระบาด วิกฤตเศรษฐกิจ แนวคิดการพัฒนาเมืองที่ให้ความสำคัญกับความทันสมัยและนโยบายของท้องถิ่น

นโยบายระดับท้องถิ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กทม. สะท้อนความพยายามจำกัดจำนวนผู้ค้ามาโดยตลอดโดยความท้าทายไม่ได้มีเฉพาะเรื่องจำนวนผู้ค้าซึ่งเชื่อมโยงไปถึงประเด็นธรรมาภิบาล ผู้มีอิทธิพล นักการเมืองท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังมีประเด็นการกีดขวางทางสัญจรของประชาชนซึ่งรวมถึงผู้สูงอายุ ผู้พิการ ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และสิ่งแวดล้อมด้วย

เมื่อการจัดการของ กทม. จำกัดที่การจัดระเบียบ การจัดการจึงอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักเทศกิจ เป็นหลัก จึงไม่สามารถขยายขอบเขตไปไกลถึงเรื่องศักยภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมได้

จำนวนผู้ค้าที่ไม่ได้สัดส่วนกับพื้นที่ประกอบอาชีพ การขยายตัวของเมือง ระบบขนส่งมวลชน ที่ทำให้ผู้คนต้องใช้ทางเท้ามากขึ้น รัฐบาลท้องถิ่นซึ่งล้มเหลวในการจัดการการค้าแผงลอยมาโดยตลอด ไม่สามารถเผชิญกับความท้าทายจากการเพิ่มขึ้นของผู้ค้าอันเป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้างทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ ประกอบกับแรงกดดันผ่านสื่อสังคมจากประชาชนที่เผชิญปัญหาการสัญจรและประชาชนที่มีความเห็นว่าทางเท้ามีไว้สำหรับการสัญจรเท่านั้น การจับปรับ/ไล่รื้อ จึงเป็นวิธีการหลักในการจัดการซึ่งสวนทางกับนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนให้การประกอบอาชีพอิสระเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาความยากจน และสร้างผู้ประกอบการมาโดยตลอด

การไล่รื้อที่ส่งผลกระทบมากที่สุดภายใต้มาตรการ “คืนทางเท้าให้ประชาชน” ทำให้คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบอาชีพหาบเร่แผงลอย ที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมาย และจัดทำรายงานข้อเสนอแนะ ปรับปรุง ยกเลิกกฎหมายระดับต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพหาบเร่แผงลอยในปี 2561

ในปี 2563 กทม.บังคับใช้ระเบียบฉบับใหม่กำกับดูแลการค้าหาบเร่แผงลอย ประเด็นสำคัญในระเบียบนี้คือการกำหนดให้ผู้ค้าเป็นผู้มีรายได้น้อย ทำให้การค้าหาบเร่แผงลอยเป็นสวัสดิการสังคม โอกาสทางเศรษฐกิจถูกจำกัดอย่างน่าเสียดาย แต่ กทม.ก็มีความพยายามสนับสนุนให้ผู้ค้าเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นสถาบันการเงิน แนวทางเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายของผู้ว่าราชการ กทม.คนปัจจุบัน ซึ่งแสดงความชื่นชมแนวทาง Hawker Center ของสิงคโปร์ แม้นโยบายที่เกี่ยวกับหาบเร่แผงลอยหลายส่วนที่ประกาศไว้ยังไม่ได้เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ขณะที่การไล่รื้อหาบเร่แผงลอยในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบนถนนสายหลัก เช่น สีลม สุขุมวิท กรุงเกษม ส่วนในพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นพื้นที่อัตลักษณ์ เช่น เยาวราช การค้ายังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และมีการเปิดจุดผ่อนผันที่บางขุนเทียน 69 อีกครั้งในชื่อ “ROUTE 69 Mini Hawker Center” เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งผลประกอบการยังไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง

การบริหารจัดการหาบเร่แผงลอยใน กทม.ควรครอบคลุมมิติอย่างน้อยห้ามิติ ได้แก่ มิติเศรษฐกิจ ซึ่งเชื่อมโยงกับการแก้ไขปัญหาความยากจน และการสะสมทุน การสร้างผู้ประกอบการ มิติสังคม คือ การลดปัญหาสังคมซึ่งเกี่ยวข้องกับความยากจน การสร้างความสามารถในการพึ่งตนเอง ทุนทางสังคม มิติการเมือง ซึ่งเกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐ และการบังคับใช้กฎหมาย มิติวัฒนธรรม คือ การวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ทุนวัฒนธรรม ซึ่งเชื่อมโยงกับแนวคิด Soft power และมิติสิ่งแวดล้อม คือ ความสะอาด ความเป็นระเบียบ

สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือความสำคัญของการมีงานทำ มีรายได้ มีศักดิ์ศรี สามารถพึ่งตนเอง ในอีกด้านหนึ่ง หาบเร่แผงลอยมีศักยภาพในมิติต่างๆ ข้างต้น การจัดการอย่างตระหนักถึงศักยภาพของหาบเร่แผงลอยจะสามารถดึงศักยภาพของธุรกิจขนาดจิ๋วนี้ออกมาได้เต็มที่ จะนำไปสู่การจัดการแบบองค์รวม การอยู่ร่วมกันระหว่างธุรกิจขนาดจิ๋วและธุรกิจขนาดใหญ่ โดยไม่ทิ้งคนจนไว้ข้างหลัง

หาบเร่แผงลอยใครว่าไม่สำคัญ เขาเป็นทั้ง Soft power ทั้ง Social Safety Nets ทุนทางสังคม และพลังหรือเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่ช่วยพยุงประเทศชาติยาวนาน รัฐจึงไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง

สราวุธ ไพฑูรย์พงษ์
ศ.ดร.นฤมล นิราทร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image