เจาะนโยบาย ‘เกรียงไกร เธียรนุกุล’ ประธาน ส.อ.ท.สมัย 2 ใช้ 4 Go พัฒนาเอสเอ็มอีไทย!!

รองตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สมัยที่ 2 วาระปี 2567-2569 สำหรับ “เกรียงไกร เธียรนุกุล”

หลังจากเดือนเมษายนที่ผ่านมา ส.อ.ท.ได้จัดการประชุมคณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย วาระปี 2567-2569 วาระสำคัญในการประชุมครั้งนี้เป็นการเสนอชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย วาระปี 2567-2569 

โดยให้คณะกรรมการจำนวน 366 คน
ซึ่งมาจากผู้แทนสมาชิกประเภทสามัญจากทั่วประเทศจำนวน 244 คน กรรมการประเภทแต่งตั้งที่มาจาก 46 กลุ่มอุตสาหกรรมของ ส.อ.ท. และจาก 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ รวม 122 คน 

ท้ายที่สุด ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์เลือก นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สมัยที่ 2 ถือเป็นประธานคนที่ 16

Advertisement

บรรยากาศประชุมเลือกตั้งราบรื่นไร้ดราม่า!!

หลังจากก่อนหน้านี้ ภาพการแข่งขันค่อนข้างดุเดือด หลังจาก “สมโภชน์ อาหุนัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรืออีเอ ประกาศลงสมัครประธาน ส.อ.ท. 

การเปิดตัวชิงตำแหน่งดังกล่าวทำให้เกิดข่าวคาวขึ้นบ้าง แต่สุดท้ายด้วยความ
มืออาชีพของทุกฝ่าย ก็ทำให้เหตุการณ์นี้จบลง เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามแห่งการทำงานที่ภาครัฐควรร่วมมือกันทำงาน
นำเสนอข้อคิดเห็นต่อภาครัฐ ดูแลประชาชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

Advertisement

ประธานเกรียงไกรเปิดเผยถึงนโยบายที่ใช้ขับเคลื่อน ส.อ.ท.วาระ 2 ว่า ในวาระแรก ได้เดินหน้า ONE FTI (One Vision, One Team, One Goal) สามารถผลักดันให้เกิดขึ้นในวาระแรก 2 ปี เน้นการขับเคลื่อน First Industries หรืออุตสาหกรรมเดิม และขยายผลสู่ Next-GEN Industries ใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curves) ที่ขับเคลื่อนด้วย BCG Model (Bio-Circular-Green) ที่เป็นทิศทางของโลกในปัจจุบัน

สิ่งที่สำคัญ คือ การเน้นไปที่การช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้มากขึ้น เนื่องจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกมีความท้าทายและมีความผันผวนค่อนข้างมาก ประกอบกับประเทศไทยเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจส่งผลให้เอสเอ็มอี กำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และยังต้องเผชิญกับสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาดัมพ์ตลาดในหลายกลุ่มสินค้า ทำให้หลายโรงงานอยู่ไม่ไหว ต้องปิดตัวไป บางรายผันตัวเป็นผู้นำเข้าแทน ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องเข้ามาช่วยเหลือและประคองให้
ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอยู่รอด

ประธานเกรียงไกรกล่าวว่า สำหรับวาระ 2 ใน 2 ปีข้างหน้านี้ จะให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาให้กับเอสเอ็มอีอย่างจริงจัง โดยร่วมมือกับภาครัฐในการหามาตรการต่างๆ ที่จะช่วยผลักดันเอสเอ็มอีทั่วประเทศ ในการเปลี่ยนผ่านจากเอสเอ็มอี​ธรรมดาสู่ “Smart SMEs” ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมาทำได้ส่วนหนึ่งแล้ว แต่จะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยมี4 ส่วนที่ให้ความสำคัญ ได้แก่

1.Go Digital ล่าสุดได้สั่งการให้กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลของ ส.อ.ท. เตรียมแพคเกจโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สำคัญภายใต้โครงการ “Digital One” เพื่อช่วยยกระดับเอสเอ็มอีทั่วประเทศ เช่น โปรแกรมด้านการผลิต ด้านการบัญชี และด้านการควบคุมต่างๆ ที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และช่วยลดรายจ่าย ซึ่งปกติแต่ละโปรแกรมมีมูลค่าเป็นหลักหมื่น หลายโปรแกรมรวมกันเป็นหลักแสน 

โดยได้ให้กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลสร้างและรวบรวมแพคเกจที่สำคัญๆ ที่สมาชิก ส.อ.ท.จำเป็นต้องใช้ โดยทุกโปรแกรมจากแพคเกจหลักแสนจะลดเหลือเพียง 1,110 บาท เพื่อให้เอสเอ็มอีสามารถจับต้องและเป็นเจ้าของได้ และนำไปพัฒนาตัวเองได้ทันที ตรงนี้เป็นนโยบายเชิงรุกที่จะช่วยยกระดับให้เป็นสมาร์ทเอสเอ็มอี (Smart SMEs) ได้เร็วขึ้น

2.Go Innovation เป็นเอสเอ็มอี “จิ๋วแต่แจ๋ว” ด้วยนวัตกรรมซึ่งจะคล้ายกับเอสเอ็มอีของไต้หวันและอิสราเอล ล่าสุดทาง ส.อ.ท.ได้ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดตั้งกองทุนนวัตกรรมที่เรียกว่า “Innovation One” โดยกระทรวง อว.ได้ให้งบสนับสนุน 1,000 ล้านบาท และ ส.อ.ท.สมทบอีก 1,000 ล้านบาท รวมเป็น 2,000 ล้านบาท ในกรอบระยะเวลา 3 ปี เพื่อสนับสนุนเอสเอ็มอีและสตาร์ตอัพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ และเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และจะบุกเต็มที่ในอีก 2 ปีข้างหน้านี้

3.Go Global จะผลักดันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้สามารถผลิตและขายสินค้าไปต่างประเทศได้ในมาตรฐานที่ต่างประเทศยอมรับ หากเป็นเอสเอ็มอี ที่เป็นซัพพลายเชนของผู้ส่งออกต่างชาติที่มาตั้งฐานผลิตในไทย จะผลักดันให้ได้มาตรฐานสากล เพื่อยกระดับมาตรฐานตัวเองไปกับสินค้าต่างๆ 

4.Go Green จะผลักดันให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ผลิตสินค้า และมีกระบวนการทั้งหมดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะปัจจุบันผลิตภัณฑ์ที่เป็นกรีน คือ สินค้าที่ทั้งโลกต้องการ และขยายตัวต่อเนื่อง หากไม่ปรับตัวจะตกขบวนได้

ทั้ง 4 Go เป็นนโยบายใหม่ที่จะมาเสริมนโยบาย ONE FTI ซึ่งหากทำตามแผนตามยุทธศาสตร์นี้จะทำให้ผู้ประกอบการ
เอสเอ็มอีในภาคการผลิตของไทย สามารถยกระดับความสามารถในการแข่งขันได้ดีขึ้น 

โดยในวาระปี 2565-2567 ภายใต้นโยบาย ONE FTI ถือเป็นการวางพื้นฐาน
ในการปรับกระบวนการทำงาน ซึ่งเดินหน้าไปแล้วหลายโครงการ แต่สำหรับวาระ
สมัยที่ 2 ปี 2567-2569 นี้ ผมคิดว่าเป็นความท้าทายและจะมีการขับเคลื่อนอย่างเต็มสูบ เพื่อยกระดับมาตรฐานและขีดความสามารถในการแข่งขัน 

“อะไรที่เราทำอยู่ เราจะทำต่อ และทำให้เกิดผล เราจะจับมือกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ภาครัฐและหน่วยงานพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง เพื่อก้าวข้ามความท้าทายและอุปสรรคต่างๆ ไปด้วยกัน และเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียวเพิ่มขึ้น เพื่อประเทศไทยที่เข้มแข็งกว่าเดิม” ประธานเกรียงไกรทิ้งท้าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image