เ ปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญไม่ต่างกับปมสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)
สำหรับโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) หนึ่งในโรงพยาบาลรัฐ ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งถูกจัดว่าเบอร์ท็อป มีประสิทธิภาพมากสุดแห่งหนึ่งของไทย
ก่อร่างสร้างขึ้นครั้งแรก มีฐานะอยู่เพียงระดับทุติยภูมิ หรือเรียกง่ายๆ ว่าโรงพยาบาลชุมชน แต่ด้วยการพัฒนาที่รุดหน้าอย่างก้าวกระโดด เพียงไม่ถึง 40 ปี โรงพยาบาลแห่งนี้ก็ก้าวขึ้นสู่การเป็นระดับตติยภูมิ ยืนอยู่แถวหน้า ครบครันไปด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีเฉพาะทางที่จำเป็นต่อการตรวจโรค

หลังจากการเข้ามาของคณะผู้บริหารชุดใหม่ ที่นำทีมโดย รศ.นพ.ดิลก ภิยโยทัย อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มธ. ในฐานะ ‘ผู้อำนวยการ
โรงพยาบาล’ สถานอภิบาลประชาชนแห่งนี้ ยังคงเดินหน้าคงคุณภาพมาตรฐานและศักยภาพการให้บริการทัดเทียมกับโรงพยาบาลในระดับสากล เห็นเด่นชัดอย่างยิ่ง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ถือเป็นอีกกำลังหนุนสำคัญ ในการแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุขของชาติ
ติดปีก ‘ศูนย์กลางการแพทย์’
ลุยโรคซับซ้อน AI-หุ่นยนต์แบ่งเบาภาระหมอ
นับถอยหลังสู่อีก 4-5 ปีข้างหน้า เรากำลังจะได้เห็น ‘โครงสร้างพื้นฐาน’ ที่ถูกพัฒนาให้บริการรองรับประชาชน ชนิดที่เรียกว่าครอบคลุมทุกมิติ
ไม่ว่าจะเทคโนโลยีนำเข้า ที่ทันสมัยยิ่งกว่า ยังขยายพื้นที่เชิงกายภาพอีกกว่า 100,000 ตารางเมตร มากกว่า 5 อาคารที่กำลังจะเกิดใหม่ ทั้งอาคารศูนย์การแพทย์ธรรมศาสตร์, อาคารศูนย์ธรรมศาสตร์ธรรมรักษ์, อาคาร 88 ปี มธ., อาคาร 90 ปี มธ., อาคารชวนชูชาติ วพน.7 ฯลฯ ซึ่งเป็นอาคารสำหรับผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD) รวมถึงศูนย์นวัตกรรมสุขภาพธรรมศาสตร์ ฯลฯ
หากย้อนกลับไปนับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 วันที่ รศ.นพ.ดิลกเข้ามาดำรงตำแหน่งในฐานะผู้นำหมายเลข 1 ของโรงพยาบาลอย่างเป็นทางการ อาจเป็นเวลาสั้นๆ เพียง 2 เดือนเศษ แต่แผนใหญ่กลับได้ถูกเซตไว้แล้ว
ด้วยความตั้งใจยกระดับให้โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ติดปีกให้กลายเป็น ศูนย์กลางทางการแพทย์ของประเทศ แต่ต้องไม่ละเลยความเป็นโรงพยาบาล ที่จะสร้างความสุขให้ทั้ง ‘ผู้รับบริการ’ และ ‘ผู้ให้บริการ’
รศ.นพ.ดิลกค่อยๆ เล่าถึงแผนพัฒนาดังกล่าวว่าจะแบ่งเป็น 4 ส่วนหลักๆ ประกอบด้วย 1.การให้บริการดูแลรักษา 2.การสนับสนุนด้านการวิจัยและนวัตกรรม 3.การสนับสนุนการเรียนการสอนของคณะใน มธ. และ 4.การพัฒนาองค์กร
เมื่อเจาะลึกลงในดีเทล จะเห็นว่าในส่วนที่ 1 การให้บริการดูแลรักษา และส่วนที่ 2 การสนับสนุนด้านการวิจัยและนวัตกรรม จะมีความเกี่ยวโยงกัน เพราะจะมีการนำเทคโนโลยีด้านการแพทย์เข้ามาใช้มากขึ้น และเน้นไปที่โรคหายากที่มีความซับซ้อน
พร้อมโชว์เคสตัวอย่างที่จะได้เห็น เช่น การนำเข้าเครื่องฉายรังสีด้วยอนุภาคโปรตรอนเพื่อรักษามะเร็งที่มีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท การใช้ ‘หุ่นยนต์ผ่าตัดอัจฉริยะ da Vinci’ ที่จะเข้ามาแบ่งเบางานให้ศัลยแพทย์ แน่นอนว่าการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในทางการแพทย์ อย่างการแปลผลเอกซเรย์ และ CT-Scan การปลูกถ่ายอวัยวะ ก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

‘ศูนย์พันธุศาสตร์’ ถอดรหัสทำนายโรค
จีโนมิกส์ ตอบโจทย์ประเทศ
เรื่องที่ต้องศึกษาวิจัยลึกลงไป ก็เริ่มพัฒนาให้มีรองรับแล้ว
เช่น ‘ศูนย์พันธุศาสตร์ทางการแพทย์’ ที่เพิ่งตั้งเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางด้านการแพทย์จีโนมิกส์เฉพาะทาง ซึ่งอาจก้าวขึ้นมาเป็นหน่วยหนึ่งในระดับประเทศ ที่พร้อมจะให้บริการตั้งแต่การตรวจวินิจฉัย การวางแผนดูแลรักษาที่แม่นยำเฉพาะเจาะจง (Precision Medicine) บริการด้านนิติพันธุศาสตร์ ไปจนถึงการพยากรณ์ก่อนการเกิดโรค
ครอบคลุมรองรับโรคทางพันธุกรรมที่พบบ่อย (โรคหายาก) โรคมะเร็ง และเภสัชพันธุศาสตร์
“เราได้สั่งเครื่อง Sequencing (เครื่องถอดรหัสพันธุกรรม) ซึ่งราคาประมาณ 15-30 ล้านบาท มาไว้เองเลย เพราะเราต้องการเป็นศูนย์กลาง (Center) และเพื่อใช้สำหรับสนับสนุนด้านการวิจัยด้วย เพราะเดิมผมเป็นคณบดีคณะแพทย์ มธ. ซึ่งก็เห็นว่าภายในคณะมีห้องแล็บเยอะมาก แต่เป็นการทำแต่วิจัยข้างใน ตอนนี้ก็กำลังจะคุยกันว่าให้มีการใช้เครื่องมือร่วมกันด้วยเพื่อให้เกิดประโยชน์กว้างขึ้น เพราะทำแค่ข้างในไม่พอแต่ต้องนำมาใช้ตอบโจทย์ประเทศด้วย” รศ.นพ.ดิลกเผยถึงความมุ่งมั่น
มอง ‘จีโนมิกส์’ เป็นอีกหนึ่งทิศทางทางการแพทย์ในอนาคต ที่หลายประเทศชั้นนำทั่วโลกเห็นร่วมกัน ไม่ว่าจะอังกฤษ สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น
“ไทยเราก็มีการเริ่มไปแล้วเช่นกันคือ โครงการจีโนมิกส์ไทยแลนด์ แต่บริการที่เกิดขึ้นยังจำกัด และไม่ค่อยแพร่หลาย ซึ่งผมคิดว่าโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ มีศักยภาพ ทรัพยากรด้านอุปกรณ์ และบุคลากรค่อนข้างพร้อมที่จะเข้าไปร่วมช่วยให้มันขยับเดินหน้าได้” เป็นหนึ่งในเป้าหมายของ ผอ.รพ.ธรรมศาสตร์ฯ

ช่วยรักษาแม้จ่ายไม่ไหว
‘พรีเมียมคลินิก’ แบกภาระกลุ่มเปราะบาง
ที่น่าประทับใจ ในสังคมที่เต็มไปด้วยกลุ่มเปราะบาง
คือความตั้งใจที่จะกระจายบริการสุขภาพขั้นสูงเหล่านี้ ให้เข้าถึงประชาชนที่มีความจำเป็นแต่ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาดังกล่าวไหว
โดยสามารถเข้าถึงได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทางโรงพยาบาลจะมีการหาวิธีบริหารจัดการงบประมาณ หรือหาการสนับสนุนแหล่งเงินจากส่วนต่างๆ เพื่อมารองรับส่วนนี้ เช่น การเปิด Premium Clinic ภายใต้ศูนย์การแพทย์ธรรมศาสตร์
แน่นอนว่าการเพิ่มเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาจะทำให้มีค่าใช้จ่ายที่เราต้องลงทุนค่อนข้างมาก อีกทั้งการจะให้บริการคนที่มีความจำเป็นได้ โดยไม่เก็บความค่าใช้จ่าย ก็จะเป็นการแบกภาระค่าบริการนั้น
แต่ในสายตาของ รศ.นพ.ดิลก มองว่าทั้งหมดนั้น ก็เป็นหน้าที่ของโรงพยาบาลและผู้บริหาร ที่จะไปหาเงินมาเพื่อทำให้เดินต่อไปได้
“เพราะคนไข้บางคนเขาไม่มีกำลังจริงๆ อย่างเปลี่ยนลิ้นหัวใจโดยใส่สายสวนครั้งนึงเป็นหลักล้านบาท แล้วสิทธิการรักษาก็เบิกไม่ได้ ถ้าเราไม่ให้การรักษา ก็เท่ากับมีเทคโนโลยีในการรักษาที่ดี แต่คนเข้าไม่ถึง และตัดหนทางในการรักษาของเขา”
“หลายคนเห็นแบบนี้อาจจะบอกว่าลงทุนเยอะ รายได้น้อย ไม่ทำดีกว่า แต่ผมคิดว่าเราเกลี่ย และหาทางได้ บางอย่างถ้าสร้างประโยชน์กับสังคม ถึงสร้างรายได้ให้โรงพยาบาลไม่เยอะ แต่คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้นมาก และเราพอเป็นที่พึ่งให้กับเขาได้ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ เราอยากให้คนทุกคน ทุกระดับ เข้าถึงบริการพรีเมียมได้” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯเผย
สู่ปลายทาง ‘บริการคุณภาพ’
ดูแลคนทำงาน ไม่ใช่แค่เพิ่มเทคโนโลยี
สำหรับส่วนที่ 3 การสนับสนุนการเรียนการสอนของแต่ละคณะในกลุ่มศูนย์สุขศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วย คณะแพทยศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ และคณะสหเวชศาสตร์
จะมีการเปิดพื้นที่การเรียนรู้ทักษะที่นอกเหนือจากหลักสูตรให้นักศึกษาได้เข้ามาเรียนรู้การให้บริการด้านสาธารณสุขบางอย่างที่อาจจะไม่มีโอกาสได้ทำ หรือได้เรียนในห้องเรียน อย่างโรงพยาบาลสนาม การตั้งศูนย์การแพทย์ การบริหารจัดการในโรงพยาบาล ฯลฯ
ปิดท้ายด้วยส่วนที่ 4 การพัฒนาองค์กร ซึ่งจำเป็นไม่แพ้กัน แน่นอนว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น รวมถึงที่เกิดขึ้นแล้วจากการยกระดับโรงพยาบาลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ย่อมส่งผลกระทบต่อภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ไม่มากก็น้อย
เมื่อเล็งเห็นปัญหานี้ เพื่อสร้างสมดุลทางการพัฒนาให้กับโรงพยาบาล จึงสร้างแนวทาง ดูแลบุคลากรภายในโรงพยาบาลให้มากขึ้น
รศ.นพ.ดิลกเล่าถึงทิศทางในอนาคตว่า จะมีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดภาระงานของบุคลากร รวมถึงจัดระบบดูแลสภาพจิตใจของบุคลากรอย่างสม่ำเสมอ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวช และหาแนวทางปรับค่าตอบแทนให้เหมาะสมกับงานที่คนนั้นๆ ทำจริงๆ เพื่อให้เกิดการคงอยู่ในระบบ แน่นอนว่าปลายทางนี้ คือจะทำให้โรงพยาบาลมีบุคลากรเพียงพอรองรับภาระงานที่เคยล้นมือ
“ถ้าเราแก้ปัญหาเรื่องบุคลากรนี้โดยตีความง่ายๆ ว่า งานหนัก ค่าตอบแทนน้อย และเอาไปเทียบกับที่อื่น ทางแก้ที่ได้ก็จะหมุนเวียนอยู่ในวัฏจักรที่แก้อะไรไม่ค่อยได้ เพราะฉะนั้นเราจึงเอาศาสตร์ต่างๆ มาช่วยให้มากขึ้น
“เราเชื่อว่าประชาชนจะได้รับบริการที่ดีมีคุณภาพได้ ไม่ใช่แค่การเพิ่มแต่เทคโนโลยีอย่างเดียว แต่ต้องดูแลคนทำงานให้ดีด้วย” รศ.นพ.ดิลกเชื่ออย่างนั้น

ไม่ได้วาดภาพบนอากาศ
รุกบริการสังคม–ลงไปดูให้รู้จริง
นอกจากการขยับเดินหน้าพัฒนาอย่างเต็มกำลังแล้ว รศ.นพ.ดิลกบอกอีกว่า งานด้านบริการสังคมก็จะเป็นไปในเชิงรุกด้วยเช่นกัน
เตรียมพร้อมที่จะยกระดับการออกหน่วยไปร่วมกับการจัดกิจกรรมภายนอกมากขึ้น
เหมือนอย่างในช่วงที่ผ่านมา ลุยทั้งการประสานกับศูนย์การค้าเอกชน ในการร่วมกิจกรรม Happy Society ซึ่งเป็นการออกหน่วยให้บริการตรวจสุขภาพ และให้ความรู้ด้านสุขภาพกับผู้สูงอายุภายในงานทุกวันพฤหัสบดีของทุกสัปดาห์ ไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะทำให้มีความเฉพาะเจาะจงกับโรคมากขึ้น เช่น โรคหัวใจ โรคข้อเสื่อม
ทั้งหมดทั้งมวล ไม่ว่าจะการพัฒนา หรือการจะแก้ไขปัญหาต่างๆ ผู้อำนวยการท่านนี้คอนเฟิร์มว่า ไม่ใช่สิ่งที่มาจากการวาดภาพบนอากาศ หรือจินตนาการเอาตามความรู้สึก หากแต่ยึดเอาจากข้อเท็จจริง และข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นฐาน ทั้งในเชิงสถิติ และการตรวจสอบให้มั่นใจด้วยการลงไปสัมผัส เฝ้าสังเกตจากสถานการณ์จริงด้วยตัวเอง
แม้จะฟังดูเป็นไปได้ยาก ทว่า มั่นใจว่าทุกสิ่งสามารถเกิดขึ้นจริงได้
“วันไหนที่ผมพอจะมีเวลาก็จะแบ่งเวลาลงไปตามหน่วยต่างๆ ของโรงพยาบาล เพื่อดูการทำงานของบุคลากร อาคารสถานที่ รวมถึงสังเกตการเข้ามารับบริการของประชาชน เพื่อดูว่ามีตรงไหนที่ต้องพัฒนาต่อ หรือตรงไหนที่หน่วยต่างๆ ต้องการความช่วยเหลือ
ผมคิดว่าข้อมูลที่ถูกต้องสำคัญมาก บางเรื่องเรานั่งอยู่ในห้อง หรือดูรายงานอย่างเดียวไม่รู้ แก้ไขหรือพัฒนาอะไรไปก็จะไม่ตรงจุด” เสียงของ รศ.นพ.ดิลกสะท้อนทิศทางก้าวต่อไปของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ
ไม่เพียงฉีกกรอบขีดความสามารถในการรักษา แต่ยังรีเช็กว่าทางที่กำลังจะมุ่งไป อุดช่องโหว่ปัญหาที่สังคมต้องการได้จริง