‘ผบ.อ๊อบ’สวมเครื่องแบบทัพฟ้านำประชุมผบ.เหล่าทัพ ดัน AI หนุนภารกิจมั่นคง พร้อมรับมือภัยคุกคามทึกรูปแบบ
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน กองบัญชาการกองทัพอากาศ(บก.ทอ.) เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.ทสส.) เป็นประธานประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ 4 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยมี พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ(ผบ.ทร.) พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) และ พล.ต.อ. กิตติรัตน์ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รอง ผบ.ตร.) เข้าร่วมประชุม โดยที่ พล.อ.ทรงวิทย์ สวมเครื่องแบบพล.อ.อ.ครั้งแรกหลังได้รับพระราชทานยศ พล.อ.อ. (พิเศษ) เป็นกรณีพิเศษ
ในโอกาสนี้ พล.อ.ทรงวิทย์ ได้กล่าวขอบคุณเหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ได้ร่วมปฏิบัติภารกิจในการสนับสนุนรัฐบาลเป็นอย่างดี ตลอดจนร่วมกันดูแลงานด้านความมั่นคงในทุกมิติ ซึ่งวันนี้ที่ประชุมฯ ได้รับทราบแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในภารกิจด้านความมั่นคง เพื่อใช้ในการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชน โดยมีสาระสำคัญดังนี้
กองบัญชาการกองทัพไทย มีเป้าหมายในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาสนับสนุนภารกิจด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการอำนวยการยุทธ์เพื่อให้การปฏิบัติการร่วมของกองทัพไทยมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีความสมบูรณ์ และการพัฒนาบุคลากรให้มีองค์ความรู้ควบคู่กันไป มีการดำเนินการที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาระบบงานเฉพาะด้าน ในลักษณะระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ทำงานอยู่บนเครือข่ายภายในขององค์กร ซึ่งสามารถช่วยบริหารจัดการข้อมูล สนับสนุนการปฏิบัติงาน และเป็นระบบพื้นฐานในการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ขององค์กร การพัฒนาและปรับปรุงระบบงานแผนที่และภูมิสารสนเทศ ด้วยการนำระบบปัญญาประดิษฐ์มาใช้วิเคราะห์ข้อมูลที่ต้องการจากภาพถ่ายทางอากาศและภาพถ่ายดาวเทียม ทั้งนี้ ในระยะต่อไปจะนำระบบปัญญาประดิษฐ์มาสนับสนุนการปฏิบัติงานเพิ่มมากขึ้น อาทิ การอำนวยการยุทธ์ การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ การพัฒนาประเทศเพื่อความมั่นคง และการช่วยเหลือประชาชน รวมถึงจะให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังพลทั้งในด้านขีดความสามารถและด้านการบริหารจัดการ นอกจากนี้ ยังได้เตรียมการจัดตั้ง Working Group ด้านเทคโนโลยีอุบัติใหม่ (Emerging Technology) เพื่อรองรับการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาสนับสนุนการปฏิบัติงานของกองทัพ และเตรียมความพร้อมในการรับมือภัยคุกคามในอนาคตต่อไป
กองทัพบก มุ่งเน้นการปรับปรุงโครงสร้างกำลังกองทัพ และเสริมสร้างขีดความสามารถของกำลังทางบก ในด้านต่าง ๆ โดยตระหนักและให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีสารสนเทศ ไซเบอร์ และปัญญาประดิษฐ์ ที่ทันสมัย มาใช้ในภารกิจที่ได้รับมอบหมาย เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างกำลังกองทัพให้มีความพร้อมในการใช้กำลังป้องกันประเทศ และปฏิบัติการทางทหารนอกเหนือจากสงคราม โดยได้นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ในระบบงานที่สำคัญ ได้แก่ ระบบงานข่าวกรอง ระบบควบคุมบังคับบัญชาและไซเบอร์ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบงานการฝึก และระบบส่งกำลังบำรุง เพื่ออำนวยประโยชน์ต่อกระบวนการแสวงข้อตกลงใจเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการปฏิบัติการ ลดจำนวนกำลังพลและทรัพยากรที่ใช้ในการปฏิบัติภารกิจ ซึ่งกองทัพบก จะได้วางแผนและดำเนินการในเชิงบูรณาการร่วมกับ กองบัญชาการกองทัพไทย เหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างเป็นระบบมุ่งสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการสำหรับการปฏิบัติการร่วมของกองทัพไทยที่มีประสิทธิภาพในอนาคต
กองทัพเรือ การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) มาประยุกต์ใช้ในงานด้านความมั่นคงจะมีบทบาทสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถตลอดจนการปฏิบัติทางทหารทั้งในระดับยุทธศาสตร์ ยุทธการ และยุทธวิธี โดยมีตัวอย่างที่กองทัพเรือให้ความสำคัญ ได้แก่ การบริหารจัดการและวางแผนยุทธศาสตร์ (Strategic Management and Planning) ระบบข่าวกรอง เฝ้าตรวจ และลาดตระเวน (Intelligence Surveillance and Reconnaissance : ISR) ระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) ยึดแนวทางการพัฒนาขีดความสามารถด้านไซเบอร์ของกองทัพเรือ เป็นการพัฒนา 3 องค์ประกอบ ได้แก่ การพัฒนากำลังพลให้มีความรู้และทักษะไซเบอร์ที่จำเป็นต่อภารกิจ การพัฒนากระบวนการ หลักนิยมและวิธีการปฏิบัติมาตรฐาน ตลอดจนการพัฒนาเทคโนโลยี ที่จะทำให้การปฏิบัติภารกิจมีความรวดเร็วและเป็นอัตโนมัติมากขึ้น
ในปัจจุบันกองทัพเรืออยู่ระหว่างการพิจารณาเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ด้วยการจัดหาระบบ Security Orchestration, Automation and Response (SOAR) และอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยไซเบอร์ เพิ่มขีดความสามารถด้านการตรวจจับ การวิเคราะห์ ที่มีประสิทธิภาพ และการตอบสนองเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ แบบอัตโนมัติ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการแก้ไข อย่างไรก็ตามกองทัพเรือจะพัฒนาขีดความสามารถ องค์ความรู้ของกำลังพล เพื่อรองรับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะเป็นจุดเปลี่ยนของสงครามในอนาคต ทั้งในระดับโลกและภูมิภาคอาเซียน อันจะเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมกิจการของกองทัพเรือ และกองทัพไทย เพื่อรองรับภัยคุกคามในอนาคตต่อไป
กองทัพอากาศ ได้กำหนดแนวทางพัฒนาขีดความสามารถการปฏิบัติภารกิจของกองทัพอากาศครอบคลุมทั้ง 3 มิติ ได้แก่ มิติทางอากาศ มิติไซเบอร์ และมิติอวกาศ ทั้งนี้ได้กำหนดแนวทางการพัฒนาขีดความสามารถด้านดิจิทัล เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของกองทัพอากาศด้วยการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ Artificial Intelligence หรือ AI มาใช้ในการเสริมสร้างขีดความสามารถของระบบบัญชาการและควบคุมทางอากาศ Air Command and Control System หรือ ACCS โดยใช้ Track Data Fusion Engine รวบรวม ประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูล จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการติดตามและระบุเป้าหมายแบบเรียลไทม์ โดยวางแผนการพัฒนา ระบบงาน คน และเทคโนโลยี ให้สอดคล้องกัน ทั้ง 3 ด้าน
ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถใช้งาน Track Data Fusion Engine อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้งาน AI ในมิติไซเบอร์ ได้พัฒนาสถาปัตยกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยยึดแนวคิดกองทัพอากาศเป็นศูนย์กลาง (Network Centric Air Force : NCAF) และโมเดล Zero Trust เพื่อให้การป้องกันทางไซเบอร์มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐานระดับสากล มุ่งเน้นป้องกัน และสกัดกั้นภัยคุกคามที่พบด้วยระบบป้องกันและระบบตอบสนอง ภัยคุกคามไซเบอร์อัตโนมัติ ชดเชยข้อจำกัดด้านบุคลากร มีแนวความคิดในการประยุกต์ใช้ AI ในการปฏิบัติการในมิติอวกาศ ในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติการดาวเทียม และการบริหารจัดการข้อมูลทางอวกาศและด้านเฝ้าระวังทางอวกาศ รวมถึงการใช้ AI ในด้านการสนับสนุนการบรรเทาสาธารณภัย เพื่อให้สามารถวางแผนป้องกันสาธารณภัยได้อย่างทันท่วงที ทั้งการพิทักษ์รักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติ การสนับสนุนภารกิจตามที่รัฐบาลมอบหมายตลอดจนการช่วยเหลือประชน สืบไป
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ บรรยายสรุป ในหัวข้อ “การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) มาประยุกต์ใช้ด้านความมั่นคง โดยโครงการ MySIS Bot เป็นการนำเทคโนโลยี แชทบอท หรือโปรแกรมอัตโนมัติที่ทำหน้าที่สื่อสารกับผู้ใช้ มาช่วยในการตอบคำถามพื้นฐาน และสามารถพัฒนาให้ตอบคำถามได้ดียิ่งขึ้นต่อไป ตามขีดความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และจะพัฒนาในเรื่องความท้าทายในการให้คำปรึกษา โดยพัฒนาการตรวจจับคำ คีย์เวิร์ด เพื่อให้ได้คำตอบที่ฉลาดมากขึ้น โดยโครงการ MySIS Bot นับว่าเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ง่ายราวกับมีชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวมีบทบาทสำคัญในการเก็บและการเข้าถึงข้อมูล เพื่อวิเคราะห์ และสร้างกลไกที่ช่วยป้องกันการเกิดเหตุได้ การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อลดการสูญเสียของกำลังพล และเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ
ทั้งนี้ ผบ.ทสส. ได้เน้นย้ำให้เหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงกลาโหม ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ ทุ่มเท และเสียสละ เพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชนดำรงการสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจการรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดน ปกป้องอธิปไตยของชาติ ดูแลประชาชน อย่างเต็มที่ รวมทั้งดำเนินการจัดหายุทโธปกรณ์สนับสนุนการปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพ เตรียมการพัฒนาการปฏิบัติงาน เพื่อนำมาประยุกต์ใช้งานและควบคุมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการปฏิบัติภารกิจของกองทัพ ตลอดจนพัฒนากำลังพลให้มีความรู้ความสามารถ เพื่อรองรับภัยคุกคามในทุกรูปแบบ พร้อมบูรณาการร่วมกับองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กับองค์กรภาครัฐและเอกชน อาทิ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) (National Science and Technology Development Agency : NSTDA) ศูนย์เทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (National Electronics and Computer Technology Center : NECTEC) อันจะนำไปสู่การสร้างความร่วมมือด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานร่วมกันในอนาคต เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ