ผู้เขียน | สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) |
---|
SME ต้องพึ่ง ‘แฟรนไชส์’ และ ‘ภาครัฐ’ เพื่อความอยู่รอด
อีกหนึ่งแนวทางในการสร้างผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้มีความแข็งแรงผ่านโมเดลธุรกิจที่ทั่วโลกใช้กันอยู่ และควรอย่างยิ่งที่จะเอามาเป็นกรณีศึกษา (Case study) และถอดบทเรียน (Lesson learned) การทำธุรกิจให้อยู่รอดด้วยระบบธุรกิจที่มีแบบแผนชัดเจนเป็นตัวนำได้อย่างรวดเร็ว ก็คือการทำธุรกิจผ่าน “ระบบแฟรนไชส์” (Franchise)
การผลักดันให้กลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้ามาหนึ่งในระบบธุรกิจแฟรนไชส์ ภาครัฐจะต้องเข้ามามีส่วนช่วยสนับสนุนทุกด้าน ที่ต้องเป็นเช่นนี้เพราะว่า “รัฐ” คือกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับรากหญ้า และผลักดันให้เกิดการสร้างธุรกิจเอสเอ็มอีไทยใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน
ผมเชื่อว่าธุรกิจแฟรนไชส์ คืออีกโอกาสหนึ่งที่จะช่วยผลักดันให้คนตัวเล็ก รวมทั้งธุรกิจเอสเอ็มอีเติบโตได้อย่างรวดเร็ว เพราะเปรียบเสมือนการ “โคลนนิ่งธุรกิจ” เพื่อที่จะขยายตลาดให้เติบโต แต่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดที่ เจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ (Franchisor) หรือ “แฟรนไชส์ซอร์” กำหนดเอาไว้นั่นเอง
ในยุคนี้จึงต้อง “เสริม” การเรียนรู้นวัตกรรมเข้าไปเพราะมีความจำเป็นอย่างมาก เเฟรนไชส์ส่วนใหญ่ต้องพัฒนานวัตกรรมเพื่อการแข่งขัน ที่สำคัญจะต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐด้วยไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยี ระบบบัญชี ระบบภาษี และแหล่งเงินทุน
ผมเชื่อว่า ในระยะยาวตัวธุรกิจแฟรนไชส์จะเป็นตัวกระจายรายได้ที่มั่นคงและแข็งแรง ทำให้คนตัวเล็ก และเอสเอ็มอีแข็งแรง
สิ่งที่จำเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ภาครัฐจะต้องเร่งให้การช่วยเหลือเอสเอ็มอีทำความเข้าใจกฎหมายธุรกิจอย่างยิ่งก็คือ “ระบบภาษี” ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ
โดยหลักๆ แล้วจะมีอยู่ทั้งหมด 9 ภาษีด้วยกัน ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีสรรพสามิต ภาษีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีป้าย และภาษีอากรแสตมป์ เพราะมีเอสเอ็มอีจำนวนไม่น้อยที่มองข้ามความสำคัญที่จำเป็นของระบบภาษีเหล่านี้ไป ทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย
สิ่งแรกที่ภาครัฐควรทำคือ การอบรมให้ความรู้สำหรับผู้ประกอบการที่เริ่มธุรกิจใหม่ สำหรับเอสเอ็มอีไทย ภาครัฐก็ควรจะช่วยเหลือ เช่น ยกเว้นภาษีที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจออกไปก่อนจนกว่าเอสเอ็มอีจะผ่านพ้นช่วงวิกฤตไปได้ หรือปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เกิดความสะดวกกับผู้ประกอบการมากขึ้น
“ข้อกฎหมายหลายๆ ข้อ ยังเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการยากจะเข้าใจ อ่านแล้วบางครั้งยังดูมีความกำกวม เกิดการตีความเอาเอง เพราะความไม่เข้าใจ จึงควรจะทำให้เข้าใจง่ายมากกว่านี้”
สิ่งที่อยากให้รัฐบาลตระหนักและช่วยเหลือเอสเอ็มอีอีกอย่างหนึ่งคือการจัดหา “แหล่งเงินทุน” ในอัตราดอกเบี้ยต่ำที่ผมย้ำมาโดยตลอดว่า กลุ่มเอสเอ็มอีไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ หากรัฐบาลสนับสนุนตัวนี้ได้ ท้ายที่สุดกลุ่มเอสเอ็มอีก็จะช่วยเหลือรัฐบาลคืนผ่านการ “ชำระภาษี” ที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่ากับว่ารัฐบาลมีแนวโน้มที่ดีในการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ
หากภาครัฐช่วยเข้ามาสนับสนุนและดูแลเอสเอ็มอีอย่างเต็มที่ อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนในการ “พลิก” ชีวิตเอสเอ็มอีที่กำลังปริ่มๆ น้ำ ให้โผล่พ้นน้ำ จนประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว เพราะว่าแฟรนไชส์เป็นโมเดลธุรกิจที่ได้รับการยอมรับและเป็นการเริ่มต้นธุรกิจที่มาพร้อมกับแบรนด์ที่เรียกได้ว่าค่อนข้างจะประสบความสำเร็จมาแล้วในระดับหนึ่ง
ทว่า การที่เอสเอ็มอีจะลงทุนในธุรกิจนี้ได้ก็ไม่ง่ายนักเพราะมี “ค่า” ที่ต้องจ่าย ทั้ง “ค่าธรรมเนียม” ในการทำธุรกิจ และ “ค่าตอบแทน” แบบผูกพันกันยาว หรือเลือกช่วงสั้นๆ ก็ตามแต่การทำสัญญากับทางแฟรนไชส์ซอร์นั่นเอง
ในส่วนของค่าธรรมเนียม ที่กลายมาเป็น “ต้นทุนหลัก” ที่ผู้ซื้อธุรกิจแฟรนไชส์จะต้องรับรู้และเข้าใจในข้อตกลงว่ามีค่าธรรมเนียมอะไรบ้างที่ต้องจ่าย โดยส่วนใหญ่ค่าธรรมเนียมเริ่มต้น เพื่อซื้อแฟรนไชส์ มักจะเป็นเงินก้อนใหญ่พอควรที่จะให้แฟรนไชส์ซีสามารถดำเนินธุรกิจได้ ค่าธรรมเนียมการจัดการ หรือเงินรายงวด เป็นสิ่งที่ต้องจ่ายอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เอสเอ็มอีที่อยากจะลงทุนด้านธุรกิจแฟรนไชส์ จะต้องมีใจรักและชอบในธุรกิจที่ต้องการลงทุนก่อนเป็นอันดับแรก ต้องสำรวจตัวเองให้ดีว่าชื่นชอบการธุรกิจอะไร และเพราะอะไรถึงอยากจะเป็นแฟรนไชส์ซี และที่สำคัญต้องดูงบในกระเป๋าเราเองเสียก่อน
ขั้นต่อมาต้องศึกษาให้มั่นใจว่า เทรนด์ธุรกิจแฟรนไชส์ในตลาดภาพรวม ยังมีความต้องการใช้บริการหรือซื้อผลิตภัณฑ์ของแฟรนไชส์ที่เราสนใจจะลงทุนอยู่หรือเปล่า ที่สำคัญสิ่งที่เราลงทุนไปมันต้องขายได้จริงและยั่งยืน ตรงนี้ถือเป็น “หัวใจ” ที่สำคัญก่อนจะตัดสินใจลงทุนกับธุรกิจแฟรนไชส์
ที่สำคัญธุรกิจแฟรนไชส์นั้นจะต้องมีความน่าเชื่อถือ!!
ผมเองอยากจะขอแนะนำเอสเอ็มอีเสียหน่อยว่า ธุรกิจนี้อาจมีเรื่องของความซับซ้อนทางกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องในข้อตกลงด้วย ดังนั้นทั้งแฟรนไชส์ซอร์และแฟรนไชส์ซี จึงควรปรึกษาผู้ที่มีความรู้ในด้านนี้โดยเฉพาะก่อนที่จะตกลงทำสัญญา
แฟรนไชส์ซี จะต้องพิจารณาดูในเรื่องอัตราการเติบโตของสาขา และยอดขายของธุรกิจนั้น ให้ถี่ถ้วน ตรวจสอบย้อนหลังไปเลย 3-5 ปี ต้องพิจารณาดูสถานที่ขายของ (Location) และกลุ่มเป้าหมาย (Target customer) และประสบการณ์ของแฟรนไชส์ซอร์ รวมทั้งจุดคุ้มทุน (Break event point) ที่สามารถคำนวณได้เมื่อลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์
“ธุรกิจแฟรนไชส์ถือว่าได้วางระบบเอาไว้ดีแล้ว และธุรกิจนี้ก็สามารถขยายไปในทุกธุรกิจได้ไม่เฉพาะอาหาร เหมือนอย่างที่ผมบอกธุรกิจโรงแรมธุรกิจซักล้าง ท่องเที่ยว เช่ารถ นายหน้า ทำให้เป็นเครือข่ายให้ได้หมด”
ผมมองว่าในยุคนี้ธุรกิจแฟรนไชส์มีการปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ การบริหารงาน และแนวคิดใหม่ๆ ทำให้ตอบโจทย์และช่วยแฟรนไชส์ซีได้มากขึ้นกว่ายุคก่อน ที่บางครั้งยังใช้การบริหารแบบเก่าที่เน้นความเป็นระบบครอบครัวทำให้อัตราความล้มเหลวธุรกิจแฟรนไชส์ในไทยในภาพรวมเพิ่มขึ้น ตลอดจนประสบปัญหาจากการจัดการของตนเองบ้าง หรือก็เกิดจากระบบงานของบริษัทแม่ที่เน้นการขยายธุรกิจที่มุ่งผลทางการตลาดก็มี แต่การจะทำให้เอสเอ็มอีทำธุรกิจแฟรนไชส์สำเร็จหรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “แฟรนไชส์ซอร์” เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ โดยเฉพาะ ผู้ลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ (Franchisee) หรือ “แฟรนไชส์ซี” และ “เงินกู้สำรอง” เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน จึงอาจจะดึงหน่วยงานภาครัฐเข้ามาช่วยสนับสนุนในจุดนี้ด้วยไม่ว่าจะเป็น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น
การฟื้นตัวของเอสเอ็มอีไทยได้นั้น รัฐจะต้องรีบแก้ไขให้เอสเอ็มอีไทยกลับมาสู่ธุรกิจที่แข่งขันได้ให้เร็วที่สุด การรวมตัวกันจากไม้ซีกเล็กๆ เป็นไม้ซุง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ แข่งขันกับบริษัทใหญ่และต่างชาติเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยกลับมาแข็งแรง เกิดการจ้างงานที่มีคุณภาพ สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง