บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด หรือ TSB ผู้นำในธุรกิจรถโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า ถือเป็นบริษัทที่ปฏิวัติการขนส่งสาธารณะของกรุงเทพฯ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบขนส่งมวลชนของไทยสู่มิติใหม่
ด้วยการยกระดับรถเมล์สันดาป สู่รถเมล์โดยสารไฟฟ้ากว่า 2,350 คัน มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถลดมลพิษได้เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้กว่า 250,000 ต้นต่อปี ทั้งยังเป็นบริษัทแรกในโลกที่สร้างประวัติศาสตร์ขายคาร์บอนเครดิตข้ามประเทศได้เมื่อต้นปี 2024 พร้อมกับความมุ่งมั่นในการสร้างคน จากภายในสู่ภายนอกเพื่อให้บริการกับทุกคนโดยโยงกับหลัก ESG และ IDG ซึ่งเป็นนโยบายการพัฒนาของโลกอย่างแท้จริง
เพื่อผลักดันบริการไปอีกขั้น เมื่อเร็วๆ นี้ ไทย สมายล์ บัส นำคณะสื่อมวลชนเยือนไต้หวัน ศึกษาระบบขนส่งมวลชนเพื่อนำมาปรับใช้กับไทย…
กุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทย สมายล์ บัส จำกัด ให้ข้อมูลว่า ไต้หวันมีโครงสร้างการคมนาคมขนส่งใกล้เคียงกับประเทศไทย มีการสนับสนุนจากทางภาครัฐ การร่วมมือกันของภาคเอกชน ส่งผลให้รูปแบบการขนส่งสาธารณะจากรถสันดาป ปรับเปลี่ยนมาสู่พลังงานสะอาด ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า (EV-Bus) เหมือนกับในประเทศไทย ของไทย สมายล์ บัส ที่เป็นรูปแบบรถเมล์พลังงานสะอาด ไม่ปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม
ประเทศไทยสามารถนำโมเดลของไต้หวันมาพัฒนาต่อ นั่นคือการเชื่อมต่อโครงข่าย Single Network เหมือนกับระบบบัตรโดยสาร Easy Card, บัตร i-Pass ที่สามารถเชื่อมโยงระบบการใช้บริการได้ครบถ้วน รถ–เรือ–ราง
ไล่เรียงตั้งแต่ รถไฟฟ้า Metro Taipei, Kaohsiung Metro & LRT, Metro Taiyuan, Metro Taichung, New Taipei Metro, รถไฟ Taiwan Railway, รถไฟความเร็วสูง, รถเมล์ EV Bus, รถรับส่ง Shuttle Bus, เรือเฟอร์รี่, รถแท็กซี่ ไปจนถึงบริการเช่าจักรยาน T-Bike และ You Bike
ปัจจุบันประเทศไทยยังติดปัญหาไม่สามารถเชื่อมโยงกันเป็นโครงข่ายได้อย่างแท้จริงเสียที!!
ดังนั้น บริษัทจะต่อยอดบัตรโดยสาร HOP Card ให้สามารถใช้ชำระค่าสินค้า–บริการ ให้ได้เหมือนกับ Easy Card ของไต้หวัน ที่ใช้ซื้อของในร้านสะดวกซื้อ ใช้จ่ายค่าบริการร้านอาหาร เป็นอีกแนวทางในการช่วยธุรกิจขนาดเล็ก และใช้กับสวนสนุก โรงแรม ขึ้นกระเช้าท่องเที่ยว พร้อมทั้งยังมีสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ใช้บริการ
โดยสิทธิประโยชน์ในปัจจุบัน TSB มีสิทธิประโยชน์ เดลิ แมกซ์ แฟร์ (Daily Max Fare) แก่ผู้โดยสาร ไทย สมายล์ กรุ๊ป ที่ถือ HOP Card จ่ายค่าโดยสารสูงสุดเพียง 40 บาทต่อวัน เมื่อโดยสารรถหรือเรือ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจะนั่งรถต่อเรือ เรือต่อรถ ชำระค่าโดยสารสูงสุดเพียง 50 บาทต่อวัน
อย่างไรก็ตาม หากภาครัฐและเอกชน สามารถเชื่อมโยงการเดินทางทั้งระบบได้ วันหนึ่งอาจเห็นภาพการเดินทางของประชาชนใช้รถสาธารณะมากขึ้น ใช้รถเมล์ ต่อรถไฟฟ้าแล้วมีสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ใช้บริการเพิ่มเติมเพื่อลดค่าครองชีพ ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดด้านราคา ลดค่าแรกเข้า เป็นต้น
ด้าน วรวิทย์ ชาญชญานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายปฏิบัติการและกลยุทธ์ ไทยสมายล์บัส จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ไทยสมายล์บัสพร้อมยกระดับระบบขนส่งมวลชนไทยให้ทัดเทียมกับต่างประเทศ ปัจจุบันไทยสมายล์บัส นำร่องเชื่อมต่อรถเมล์ไฟฟ้ากับเรือโดยสารไฟฟ้าในเครือเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีข้อจำกัด ซึ่งต้องอาศัยอำนาจของภาครัฐเข้ามาเป็นคนกลาง เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายกับผู้ใช้บริการ
ปัจจุบันไทยสมายล์บัส ต่อยอดบัตรโดยสาร HOP Card ให้สามารถใช้ชำระค่าสินค้า–บริการ ให้ได้เหมือนกับ Easy Card ของไต้หวัน ที่ใช้ซื้อของในร้านสะดวกซื้อ ใช้จ่ายค่าบริการร้านอาหาร โรงแรม พร้อมทั้งยังมีสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ใช้บริการ
โดยสิทธิประโยชน์ในปัจจุบันไทยlมายล์บัส มีสิทธิประโยชน์เดลิ แมกซ์ แฟร์ (Daily Max Fare) แก่ผู้โดยสาร ไทย สมายล์กรุ๊ป ที่ถือ HOP Card จะจ่ายค่าโดยสารสูงสุด 40 บาทต่อวัน เมื่อโดยสารรถหรือเรือ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหากนั่งรถต่อเรือ เรือต่อรถ ชำระค่าโดยสารสูงสุด 50 บาทต่อวัน นอกจากการศึกษาโมเดลระบบการชำระเงินของไต้หวันแล้ว ล่าสุดยังได้พัฒนาแอฟพลิเคชั่น TSB Go Plus เพิ่มฟังก์ชั่นให้หลากหลาย อาทิ ตรวจสอบเวลาเดินรถ เมื่อกำลังเข้าป้าย คำนวณระยะเวลาเดินทาง
ไทยสมายล์บัส ตั้งเป้าหมายภายในสิ้นปี 2567 จะเพิ่มผู้ถือบัตร HOP Card จาก 140,000 ใบ (ลงทะเบียนใช้งาน 50,000 ใบ) เป็น 300,000-400,000 ใบ โดยมีแผนเพิ่มสิทธิประโยชน์บัตร HOP Card ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรหลายราย และที่เจรจาแล้วคือกลุ่มไมเนอร์กรุ๊ป ที่ให้ส่วนลดอาหารในกลุ่มและพันธมิตร โดย 1 เส้นทางจะมีพาร์ตเนอร์ 1-2 รายต่อเส้นทาง บริษัทมี 123 เส้นทาง จะดึงพันธมิตรมาร่วมอีกประมาณ 300 ราย
นอกจากนี้ ยังขยายพันธมิตรรูปแบบ B2B ในกลุ่มโรงเรียน โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้าด้วย
โดยบริษัทจะใช้งบลงทุนประมาณ 150,000-200,000 บาท ในการติดตั้งจุดจำหน่ายเครื่องแตะบัตรโดยสาร HOP Card จำนวน 300 เครื่องที่ร้านค้าพาร์ตเนอร์ จะทำให้บัตรโดยสารดังกล่าวใช้ชำระค่าโดยสารรถสาธารณะและชำระสินค้าต่างๆ ได้มากขึ้น คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2-3 เดือน
นอกจากนี้ จะออกบัตรโดยสาร HOP Card ลายลิมิเต็ดประมาณ 3-4 ลาย ร่วมกับศิลปินไทยภายในไตรมาส 3 ปีนี้ รวมทั้งมีแผนจะร่วมกับซีพี เพิ่มช่องทางจำหน่ายบัตรโดยสารภายในปีนี้เช่นกัน
ปัจจุบัน ไทยสมาย์บัส มีรายได้เฉลี่ย 3,400 บาทต่อวันต่อคัน เส้นทางที่ทำรายได้สูงสุด 2 สาย คือสาย 8 และ สาย 140 อย่างไรก็ดี จุดคุ้มทุนที่รวมต้นทุนการเงินอยู่ที่ 7,000 บาทต่อวันต่อคัน
ครึ่งปีหลัง 2567 คาดการณ์จะทำรายได้เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 260 ล้านบาท จากปัจจุบันทำรายได้ 150 ล้านบาท จากเส้นทางเดินรถทั้งหมดที่วิ่งบริการอยู่ 123 เส้นทาง
โดยมีแผนเพิ่มจำนวนผู้โดยสาร 3 ด้าน คือ
1.องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ถอดการเดินรถจำนวน 14 เส้นทางที่วิ่งทับซ้อนกับเส้นทางของไทยสมายล์บัส ตั้งแต่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา จะทำให้มีรายได้เพิ่ม 30 ล้านบาทต่อเดือน
2.บริษัทเสนอกรมการขนส่งทางบก เข้าปรับปรุงเส้นทางเดินรถอีก 116 เส้นทาง เพื่อให้รถของไทยสมายล์บัสวิ่งระยะทางไกลขึ้น รองรับพื้นที่ชุมชนหนาแน่น หากได้ปรับปรุงเส้นทางจะเพิ่มรายได้อีก 80 ล้านบาทต่อเดือน
และ 3.บริษัทมีแผนขยายส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 50% ภายในปลายปีนี้ จากส่วนแบ่งการตลาดปัจจุบันที่ 30% โดยจะเพิ่มจำนวนรถเป็น 1,900 คันในไตรมาส 4 ปีนี้ ในเส้นทางเดิมที่มีผู้โดยสารหนาแน่น จากปัจจุบันวิ่งอยู่ 1,500 คัน และเพิ่มจำนวนรถเป็น 2,350 คัน ในไตรมาสแรกปี 2568 ต่อไป