คิดเห็นแชร์ : ปี 2568 ความท้าทายนโยบายการค้าใหม่ บนปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบาง

ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจหลากหลายด้าน ทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซีย อัตราเงินเฟ้อสูง อัตราดอกเบี้ยสูง และภัยพิบัติทางธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ประเทศต่างๆ มีการดำเนินนโยบายหลากหลายรูปแบบ ทำให้เศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นตัวกลับเข้าสู่ศักยภาพเดิมได้อย่างช้าๆ ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2567 มีเสถียรภาพและการเติบโตในเกณฑ์ที่ดีกว่าในช่วงปี 2563-2566 แม้ว่าจะมีปัญหาที่ยังต้องแก้ไข มีความจำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและหนี้สินของภาครัฐในหลายประเทศ เมื่อรวมกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสหรัฐ ที่น่าจะมีนโยบายต่างๆ ที่ชัดเจนมากขึ้นในปี 2568 ซึ่งคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจโลกปรับเข้าสู่โหมดความท้าทายและยากต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กลับมาขยายตัวในระดับสูงอีกครั้ง 

โดยประเด็นสำคัญของเศรษฐกิจโลกในรอบ5 ปีที่ผ่านมา มีดังนี้

การระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนา โควิด-19 ส่งผลกระทบเชิงลบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก ในปี 2563 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของโลกโดยรวมลดลงร้อยละ 3.0 ซึ่งมีความรุนแรงกว่าวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2552 ที่ GDP โลกหดตัวร้อยละ 2.03 โดยการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ส่งผลกระทบที่แตกต่างกันในแต่ละภาคส่วนและอุตสาหกรรม ประเทศต่างๆ ทั่วโลกปิดเมือง (ล็อกดาวน์) ปิดพรมแดนและกำหนดข้อจำกัดการเดินทาง ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก การปิดกิจการหรือหยุดดำเนินการทำให้รายได้ของแรงงานและประชาชนลดลง อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการเดินทางได้รับผลกระทบอย่างหนัก ข้อจำกัดจากการเดินทางนำไปสู่การลดลงอย่างมากของจำนวนเที่ยวบินทั่วโลก ทำให้ประเทศที่มีการพึ่งพาการท่องเที่ยวสูงได้รับผลกระทบรุนแรง นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 หลายระลอกทำให้เกิดความท้าทายในการรับมือทั้งด้านสาธารณสุขและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ด้านการค้าระหว่างประเทศหดตัวร้อยละ 8.48 ในปี 2563 จากความต้องการที่ลดลงในสินค้า บริการและภาคการท่องเที่ยว ขณะที่เงินเฟ้อชะลอตัวลงจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อยู่ระดับต่ำ 

เศรษฐกิจโลกในปี 2564 มีการฟื้นตัวที่โดดเด่น แต่มีความไม่เท่าเทียมกันในแต่ละภาคอุตสาหกรรมและแตกต่างกันในแต่ละประเทศ รวมทั้งยังคงมีความไม่แน่นอนสูง (Divergent Recoveries amid High Uncertainty) นอกจากนี้ ยังมีการแพร่ระบาดของไวรัสที่กลายพันธุ์ มีจำนวนผู้เสียชีวิตที่มากขึ้น แม้ว่าการฉีดวัคซีนจะครอบคลุมมากขึ้น โดย GDP โลกขยายตัวร้อยละ 6.39 การค้าระหว่างประเทศขยายตัวร้อยละ 10.8 จากความต้องการสินค้าทางการแพทย์และสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น ซึ่งประเทศที่เป็นผู้ผลิตวัคซีนได้รับประโยชน์จากความต้องการวัคซีนทั่วโลก ขณะที่การค้าภาคบริการฟื้นตัวช้าเพราะข้อจำกัดจากการเดินทาง ด้านเงินเฟ้อโลกอยู่ที่ร้อยละ 4.66 ซึ่งสูงสุดในรอบ 10 ปี (นับจากปี 2554) เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นและค่าเงินหลายประเทศอ่อนตัวลง โดยเงินเฟ้อสหรัฐสูงขึ้นจากปัจจัยชั่วคราว นำมาสู่สถานการณ์ทางนโยบายการเงินที่ยากลำบาก ภายใต้เศรษฐกิจที่อ่อนแอแต่เงินเฟ้อสูง จนมีความกังวลว่าจะเกิดภาวะ Stagflation ในหลายประเทศ

ADVERTISMENT

ปี 2565 สงครามยูเครนรัสเซีย เปลี่ยนแปลงโมเมนตัมการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก โดยเศรษฐกิจโลกในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 หดตัวเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2563 (ทั้งที่เพิ่งผ่านวิกฤตโควิด-19 มาได้ไม่นาน) ความกังวลจากสถานการณ์ความขัดแย้ง รวมทั้งมาตรการตอบโต้จากพันธมิตรต่อรัสเซียทำให้ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกสูงขึ้น โดยเฉพาะธัญพืช เช่น ข้าวสาลี ทำให้หลายประเทศมีอัตราเงินเฟ้อสูงแต่ GDP ขยายตัวต่ำหรือหดตัว และมีความเสี่ยงสูง เข้าสู่ภาวะ Stagflation ด้านประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าอาหารมากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดวิกฤตทางอาหารและการเข้าถึงอาหาร การที่เงินเฟ้อหลายประเทศเพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ กระตุ้นให้ธนาคารกลางของประเทศสำคัญดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดอย่างรวดเร็วเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ โดยเงินเฟ้อโลกสูงขึ้นถึงร้อยละ 8.63 ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมและเงื่อนไขทางการเงินโลกเข้มงวดขึ้น ด้านการค้าโลกชะลอลงเหลือเพียงร้อยละ 5.66 จากที่ขยายตัวร้อยละ 10.84 ในปี 2564

ปี 2566 อัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อสูง เป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ด้านการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซียมีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกน้อยลง โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศในเดือนพฤษภาคม 2566 ว่าโควิด-19 ไม่เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขทั่วโลกอีกต่อไป สำหรับห่วงโซ่อุปทานส่วนใหญ่ฟื้นตัวแล้ว และต้นทุนการขนส่งกลับสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาด อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกลดลงในบางส่วน เช่น ราคาพลังงานและอาหาร แต่ยังคงสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางในหลายประเทศ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในหลายประเทศ เช่น สหรัฐ สหภาพยุโรป และอังกฤษ ยังคงดำเนินต่อไปเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น และจำกัดการลงทุน การบริโภคสินค้าลดลง ส่งผลให้การผลิตและการค้าระหว่างประเทศชะลอตัวเหลือเพียงร้อยละ 0.75 จากร้อยละ 5.66 ในปีก่อนหน้า 

ADVERTISMENT

ปี 2567 การสิ้นสุดของบททดสอบหลายวิกฤต และช่วงเวลาการปฏิรูปโครงสร้างที่สะสมปัญหามานานหลังจาก 4 ปีของการเผชิญวิกฤตหลากหลายรูปแบบทำให้เศรษฐกิจโลกมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งการระบาดใหญ่ครั้งหนึ่งในศตวรรษ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และผลกระทบของสภาพอากาศที่รุนแรง ทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ด้านพลังงานและอาหาร และกระตุ้นให้รัฐบาลดำเนินการต่างๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและรักษาชีวิตของประชาชน โดยตั้งแต่ต้นปี 2567 เศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณการกลับเข้าสู่ศักยภาพเดิมของแต่ละประเทศมากขึ้น เห็นได้จากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง และประเทศสำคัญเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของหนี้สินทางการคลังทำให้ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปนโยบายการเงินการคลังให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้านอัตราเงินเฟ้อโลกคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 5.76 ชะลอตัวลงจากร้อยละ 6.66 ขณะที่การค้าโลกคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 3.13 โดยความเสี่ยงสำคัญของการค้าโลกยังเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์

สำหรับปี 2568 การเริ่มต้นของรัฐบาลใหม่ของสหรัฐ กับความท้าทายจากการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้า โดย IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวร้อยละ 3.3 ซึ่งเติบโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 20 ปี ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 (2543-2562) ที่ร้อยละ 3.7 และการเติบโตของประเทศเศรษฐกิจที่สำคัญยังมีทิศทางที่แตกต่างกัน เช่น สหรัฐอเมริกา คาดว่าจะขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 2.7 จากสภาพทางการเงินที่เอื้ออำนวย หลังจากมีการลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและการลงทุนที่เร่งตัวขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวร้อยละ 4.6 เป็นผลจากการดำเนินนโยบายการคลังที่กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับปริมาณการค้าโลกคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 3.20 แต่มีความไม่แน่นอนด้านนโยบายทางการค้ามากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อแนวทางการลงทุนของประเทศต่างๆ ด้านอัตราเงินเฟ้อของประเทศส่วนใหญ่คาดว่าจะกลับเข้าสู่ระดับเป้าหมายของธนาคารกลาง จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ประเทศต่างๆ ดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น 

จากความท้าทายที่เพิ่มขึ้นผนวกกับความเปราะบางทางเศรษฐกิจที่เกิดจากผลกระทบหลายวิกฤต แนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในระยะต่อไป จึงต้องให้ความสำคัญกับการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้มีเครื่องจักรใหม่ที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ ปรับกฎหมายให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ ปรับปรุงวิธีการและงบประมาณให้มีความยืดหยุ่นกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ด้านการส่งออกต้องมีการกระจายทั้งตลาดและสินค้าส่งออก รวมถึงให้ความสำคัญกับการสร้างภูมิคุ้มกันด้านความมั่นคงทางการเงินของภาคครัวเรือน ปรับภาระหนี้ให้ลดลง มีสภาพคล่องจากรายได้อย่างสม่ำเสมอ และมีเงินออมเพียงพอต่อการดำเนินชีวิตในยามวิกฤต เป็นต้น

พูนพงษ์  นัยนาภากรณ์
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้ากระทรวงพาณิชย์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image