เมื่อไต้หวันเจอทางตัน

เมื่อไต้หวันเจอทางตัน

การที่รัฐบาลไต้หวันทำการผลักดันให้เกิดกระแส “ต่อต้านจีน” กอปรกับ “ไล่ ชิงเต๋อ”
ผู้นำสูงสุดชูธง “รับมือภัยคุกคามความมั่นคง” เป็นพันธนาการอันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางด้านสังคมและการค้าของสองฝั่งช่องแคบนั้น ถือเป็นการเพิ่มอุณหภูมิให้สูงยิ่งขึ้นในขณะที่ความสัมพันธ์ของสองฝั่งช่องแคบไต้หวันร้อนแรง อ่อนไหวและเปราะบาง จึงน่าเป็นห่วง พรรครัฐบาลมีความสันทัดในการเล่นการเมืองระบอบประชานิยม การปลุกระดมคนไต้หวัน “ต่อต้านจีนคอมมิวนิสต์” ได้กลายเป็นประเพณีไปแล้ว

“ไล่ ชิงเต๋อ” กำลังสร้างปัญหาให้แก่ตน การใช้วาทกรรม “ปกป้องไต้หวัน” อาจมีความเสี่ยงสูง เป็นครั้งแรกที่เขากำหนดให้จีนแผ่นดินใหญ่คือ “อำนาจศัตรูต่างประเทศ” กรณีมิเพียงเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง ยังเป็นอีกก้าวหนึ่งที่นำพาสองฝั่งช่องแคบไปสู่ชายขอบของการต่อสู้แบบ Zero-Sum Game ทั้งนี้ นอกจากไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ไต้หวันกำลังเผชิญอยู่ กลับกลายเป็นตัวเร่งให้ไต้หวันเข้าสู่สถานการณ์ที่คับขันเร็วขึ้น

ท่ามกลางสภาวะที่ปราศจากการแจ้งเตือนล่วงหน้า “ไล่ ชิงเต๋อ” ได้จัดการประชุมฉุกเฉินว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ หลังการประชุมได้ประกาศยุทธศาสตร์ที่อ้างว่าเป็นการรับมือความมั่นคงและตอบโต้การคุกคามความมั่นคง หนึ่งในนั้นคือ ฟื้นฟูการพิจารณาคดีในศาลทหาร ซึ่งเคยถูกยกเลิกมาแล้วเมื่อ 12 ปีก่อนด้วยเหตุผลด้านสิทธิมนุษยชน การนำกลับมาใช้อีกครั้ง จึงเป็นการย้อนแย้งและทำลายหลักนิติธรรม ส่วนประเด็นรับมือภัยคุกคาม กรณีสะท้อนถึงความตื่นตระหนกและไร้ทิศทาง

ADVERTISMENT

ยุทธศาสตร์การรับมือ ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ประเทศจีน โดยอาศัยเหตุผลความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งช่องแคบเป็นข้ออ้าง ซึ่งกล่าวหาจีนว่าทำการคุกคามแทรกแซงสังคมไต้หวัน ทั้งนี้ หมายความรวมถึงการห้ามคนจีนแผ่นดินใหญ่ไปทำการเคลื่อนไหวในรูปแบบยุทธศาสตร์รวมชาติ องค์กรการกุศลไต้หวันไปเจริญไมตรีที่แผ่นดินใหญ่ต้องกระทำอย่างเปิดเผยและโปร่งใส

การออกมาตรการควบคุมและสอดส่องกิจกรรมของชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีปฏิสัมพันธ์กับไต้หวัน ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่ารัฐบาลไต้หวันกำลังสร้างกำแพงขวางกั้นคนจีนสองฝั่งมากกว่าการเสริมสร้างความมั่นคง

ADVERTISMENT

ในเวทีโลกไต้หวันอยู่ในสภาพที่เปราะบาง “ไล่ ชิงเต๋อ” ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคทั้งในและนอกพรรค กรณีพยายามผลักดันให้ทำการถอดถอนสมาชิกพรรคฝ่ายค้านถึง 35 คน โดยกล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงเจตนาในการมุ่งเน้นกำจัดฝ่ายตรงข้ามมากกว่าการแก้ไขปัญหา

อันเป็นที่ประจักษ์ ไม่ว่าธุรกรรมใดที่เกี่ยวกับไต้หวันและแผ่นดินใหญ่ ล้วนเป็นการก่อให้เกิดเหตุการณ์แบ่งแยกและขัดแย้ง โดยถือว่าฝั่งตรงข้ามของช่องแคบคือ “อำนาจของศัตรู” ทั้งนี้ โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันของจีนแถลงว่า “ไล่ ชิงเต๋อ” ผู้นำสูงสุดไต้หวันคือผู้ทำลายสันติภาพ และเป็นผู้ก่อวิกฤตช่องแคบ
ไต้หวัน และยังเตือนว่าไม่ควรเล่นกับไฟ เพราะ “เอกราชไต้หวัน” นั้น จีนยอมมิได้เป็นอันขาด

เป็นเวลานานมาแล้วที่ไต้หวัน “พึ่งสหรัฐต้านจีน” บัดนี้ไต้หวันต้องประสบปัญหา เพราะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทำการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศ การช่วยเหลือประเทศอื่นของทรัมป์ล้วนมีเงื่อนไข เช่น ได้แจ้งต่อรัฐบาลไต้หวันต้องเพิ่มงบกลาโหมให้เท่ากับร้อยละ 10 ของ GDP ซึ่งเป็นภาระที่ค่อนข้างหนัก ไต้หวันอาจแบกรับมิได้ด้วยข้อจำกัดทางเศรษฐกิจและประสบการณ์ทางการเมืองของผู้นำรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม การจัดการปัญหาของสองฝั่งช่องแคบ จีนยังคงยึดถือนโยบาย “หนึ่งจีน” ไม่แปรเปลี่ยน ด้วยมาตรการสันติ ยืนยันไม่ยอมให้ไต้หวันเป็นเอกราช นโยบายหนึ่งจีนคือภารกิจที่ต้องบรรลุอย่างแน่นอน ผู้ใดจะกระทำละเมิดมิได้ ไม่ว่าเอกราชไต้หวัน ไม่ว่าการแบ่งแยกไต้หวันให้ออกจากจีน กระทำมิได้เป็นอันขาด เพราะกฎหมายต่อต้านการแบ่งแยกดินแดนของจีนบัญญัติสาระสำคัญไว้ว่า “ครั้นเมื่อความเป็นไปได้ของการรวมจีนโดยสันติต้องหมดไปแผ่นดินใหญ่จักต้องใช้มาตรการที่มิใช่สันติวิธี เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน” หาก “ไล่ ชิงเต๋อ” ผู้นำสูงสุดของไต้หวันยังขัดขืน ก็เท่ากับนำเอาชีวิตของประชากร 23 ล้านคน มาเป็นเดิมพันเพื่อแลกกับความทะเยอทะยานทางการเมืองของตน

ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image