

ดำเนินไปทรงเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างเป็นทางการ
พุทธศักราช 2568 เป็นโอกาสครบ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง “ราชอาณาจักรไทย” กับ “สาธารณรัฐประชาชนจีน” โดยเมื่อย้อนไปในวันที่ 1 กรกฎาคม พุทธศักราช 2518 ไทยและจีนได้จับมือกันเปิด “ประวัติศาสตร์หน้าแรก” แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศ
ตลอดระยะเวลา 5 ทศวรรษที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งไทย-จีนแน่นแฟ้นแนบแน่นและพัฒนามาอย่างมั่นคงและยั่งยืน ทั้งสองประเทศไม่เคยมีปัญหาขัดแย้งทางประวัติศาสตร์และเขตแดน และมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด โดยได้สถาปนาความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน (Comprehensive Strategic Cooperative Partnership) ตั้งแต่ปี 2555 และมีการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งมีความร่วมมือเชิงลึกในทุกมิติ
“สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย” มีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ทุกพระองค์ทรงให้ความสำคัญและทรงสนพระราชหฤทัยในการเชื่อมความสัมพันธไมตรีระหว่างสองประเทศให้ยิ่งใกล้ชิด แน่นแฟ้น โดยเฉพาะการเสด็จพระราชดำเนินเยือนและการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างสองประเทศ
ปฐมบทแห่งความสัมพันธ์ของ “ราชวงศ์จักรี” กับ “ประเทศมหาอำนาจแดนมังกร” เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พุทธศักราช 2519 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายไฉ เจ๋อหมิน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยคนแรก เข้าเฝ้าฯถวายสาส์นตราตั้ง ณ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
ต่อจากนั้น วันที่ 5 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2521 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายเติ้ง เสี่ยวผิง รองนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าเฝ้าฯ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ระหว่างการเยือนไทย เมื่อวันที่ 5-11 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2521

วันที่ 11 มีนาคม พุทธศักราช 2528 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำแก่ นายหลี่ เซียนเนี่ยน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง
ความสัมพันธ์ไทย-จีนยิ่งกระชับแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จฯแทนพระองค์ เยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ (State Visit) ซึ่งถือเป็นการเสด็จฯ เยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการในรอบหลายสิบปี ระหว่างวันที่ 16-31 ตุลาคม พุทธศักราช 2543 เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 25 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน
ทั้งนี้ การเสด็จฯเยือนอย่างเป็นทางการ หรือ State Visit นั้นคือ การเดินทางเยือนประเทศอื่นของประมุขแห่งรัฐ (Head of State) ตามคำเชิญของประมุขแห่งรัฐของประเทศเจ้าภาพ ซึ่งเป็นระดับการเยือนที่สูงที่สุดทางการทูต ความสำคัญของการ State Visit เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อีกทั้งยังส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม แสดงถึงมิตรภาพระหว่างสองประเทศ และในบางครั้งอาจมีการลงนามข้อตกลงสำคัญระดับประเทศด้วย
นับเป็นนิมิตหมายอันดียิ่ง โดยเมื่อพุทธศักราช 2530 เมื่อครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯแทนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ
ครั้นเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ส่งสาส์นถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันชาติไทย เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2564 ความว่า จีน-ไทยเป็นพี่น้อง เป็นมิตรและเป็นเพื่อนบ้านที่ดี หลายปีมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศพัฒนาด้วยดี ได้รับผลสำเร็จมากมายในการร่วมสร้างสรรค์โครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์โควิด-19 จีน-ไทยร่วมกันต่อสู้รับมือกับความท้าทาย ส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจและได้รับผลที่น่าพอใจ
“ข้าพระพุทธเจ้าให้ความสำคัญในระดับสูงต่อการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-ไทย และหวังที่จะสานต่อมิตรภาพนี้สืบต่อไปภายใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขับเคลื่อนความเชื่อถือทางยุทธศาสตร์ระหว่างสองฝ่าย พัฒนามิตรภาพที่สืบทอดมาแต่โบราณกาล และชี้นำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีเข้าสู่ขั้นใหม่สูงขึ้นอีกขั้น นำความผาสุกมากยิ่งขึ้นมาสู่ประชาชนทั้งสองประเทศ พร้อมสร้างคุณูปการใหม่ต่อสันติภาพและการพัฒนาของภูมิภาคและของโลก”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2565 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออกพร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง ทรงรับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมการประชุมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปค (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC) ครั้งที่ 29 ระหว่างวันที่ 18-19 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2565 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร
ต่อมาในพุทธศักราช 2567 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชสาส์นแสดงความยินดี ในโอกาส นายสี จิ้นผิง เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีน สมัยที่ 3 โดยมีความตอนหนึ่งว่า ประเทศจีนและไทยมีสัมพันธไมตรีที่ใกล้ชิดสนิทสนมมายาวนาน ข้าพเจ้ายังคงระลึกถึงการได้พบกับท่านประธานาธิบดี ระหว่างการมาเยือนประเทศไทยเพื่อร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเราได้ร่วมยืนยันความเชื่อมั่นในอนาคตถึงความร่วมมือ และความเป็นหุ้นส่วนให้กันและกัน ในกรอบแห่งความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ไม่เพียงแต่การค้าและการลงทุน แต่ยังมุ่งความสัมพันธ์ระดับประชาชน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกัน อันจะเพิ่มพูนประโยชน์สุขแก่ประชาชนทั้งสองฝ่ายต่อไปในภายภาคหน้า
ทั้งนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2568 ถือเป็นปีทองของไทย-จีน ที่มีบทบาทสำคัญในการยกระดับความสัมพันธ์ และวางแผนอนาคตไทย-จีน โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงตอบรับการเสด็จฯเยือนจีนอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2568 ตามคำเชิญของรัฐบาลจีน
ถือเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของความสัมพันธ์ไทย-จีน

มิตรภาพระหว่างจีน-ไทย เพิ่มพูนอย่างถาวร จากความสัมพันธ์ฉันมิตรในการเสด็จฯเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
นับตั้งแต่เสด็จฯเยือนครั้งแรก เมื่อวันที่ 12-20 พฤษภาคม พุทธศักราช 2524 ปัจจุบันพระองค์เสด็จฯเยือนจีนมากกว่า 50 ครั้ง ทรงได้รับการทูลเกล้าฯถวายรางวัลในฐานะทูตสันถวไมตรีจากหน่วยงานของจีนหลายรางวัล อีกทั้งยังทรงพระอักษรภาษาจีน โดยทรงเริ่มศึกษาภาษาจีนตั้งแต่พุทธศักราช 2523 ทรงเป็นเจ้าฟ้าพระองค์แรกของโลกที่ทรงศึกษาภาษาจีนในมหาวิทยาลัยปักกิ่งเป็นระยะเวลา 1 เดือน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์-15 มีนาคม พุทธศักราช 2548 ทรงได้รับพระสมัญญาว่า “ทูตสันถวไมตรีไทย-จีน” จากการเสด็จฯเยือนครบทุกมณฑลของจีน ก่อให้เกิดคุณูปการต่อสองประเทศเป็นที่ประจักษ์
พระองค์ทรงมุ่งสร้างและสืบสานความสัมพันธ์ทั้งกับผู้นำทุกรุ่นทุกระดับและกับประชาชนจีนอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทรงเป็นผู้นำพระองค์เดียวในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-จีนที่ทรงพบผู้นำสูงสุดของจีนถึง 4 ใน 5 รุ่น ตั้งแต่ยุค เติ้ง เสี่ยวผิง, ประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน, ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา จนถึงประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในปัจจุบัน
ทุกวันนี้ ไม่มีผู้นำระดับสูงของจีนคนใดที่ไม่รู้จักพระองค์ท่านในพระนาม “ซือหลินทง กงจู่” หรือ “เจ้าหญิงสิรินธร” ทรงเป็น 1 ใน 10 ของ “10 มหามิตรจีน” ที่มีการโหวตทาง China Radio International เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2552 โดยมีคนจีนโหวตให้พระองค์ท่านถึง 15 ล้านเสียง
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 29 กันยายน พุทธศักราช 2562 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ทูลเกล้าฯถวายรางวัลเครื่องอิสริยาภรณ์สูงสุด “รัฐมิตราภรณ์” ของจีนแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวในเอเชียที่ได้รับถวายรางวัลในปีนี้ จากที่จีนมีความสัมพันธ์ทางการทูตร่วมกับ 200 ประเทศทั่วโลก

ล่าสุด พุทธศักราช 2568 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 8-13 เมษายน ในการเสด็จฯเยือนครั้งนี้ พระองค์ทรงปาฐกถาในการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างศักยภาพระหว่างประเทศด้านการศึกษาเพื่อการพัฒนาชนบทอย่างยั่งยืน 2025 และจะทรงร่วมพิธีเปิดการสัมมนาโครงการเครือข่ายความร่วมมือผู้นำการพัฒนาชนบทอย่างยั่งยืนระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศไทย ณ มหาวิทยาลัยครุศาสตร์ปักกิ่ง อีกทั้งจะทรงร่วมพิธีเปิดตัวหนังสือ “อักษรจีนสิรินธรลิขิต” ณ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เป็นต้น

ขณะที่ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จฯเยือนจีนหลายครั้ง ทรงเป็นเจ้าฟ้าพระองค์แรกที่ทรงแสดงดนตรี “สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน” ในจีน โดยทรงเครื่องดนตรีกู่เจิงร่วมกับพระอาจารย์ฉาง จิ้ง และวงออร์เคสตราของจีน ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยชิงหัว กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พุทธศักราช 2556
รัฐบาลจีนได้ถวายสถานะ “ทูตวัฒนธรรม” แด่สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี และขอพระราชทานพระราชวินิจฉัยโครงการแลกเปลี่ยนการแสดงดนตรีและวัฒนธรรมไทย-จีนในชื่อ “สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน”
นอกจากนี้ พระราชวงศ์พระองค์อื่นๆ ของไทยได้เสด็จฯเยือนจีนอยู่เสมอ
สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยทรงเจริญสัมพันธไมตรีแน่นแฟ้นตลอด 50 ปีแห่งสัมพันธภาพของสองมิตรประเทศ ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
ขอบคุณข้อมูลจาก เว็บไซต์ หน่วยราชการในพระองค์