หุ้นโลกพุ่ง หลัง ‘สหรัฐ-จีน’ เบรคสงครามการค้า ‘ทรัมป์’ คาด คุย ‘สี’ ปลายสัปดาห์

AP

หุ้นโลกพุ่ง หลัง ‘สหรัฐ-จีน’ เบรคสงครามการค้า ‘ทรัมป์’ คาด คุย ‘สี’ ปลายสัปดาห์

ตลาดหุ้นทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นในวันที่ 12 พฤษภาคม หลังสหรัฐและจีนบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นที่จะระงับการขึ้นภาษีศุลกากรออกไป 90 วัน พร้อมกับปรับลดการเรียกเก็บภาษีลงฝ่ายละ 115% ซึ่งเป็นผลจากการหารือครั้งแรกระหว่างผู้แทนระดับสูงของทั้งสองประเทศที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ผลจากการหารือจะทำให้สหรัฐจะลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนจาก 145% เหลือ 30% ขณะที่จีนจะลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐลงจาก 125% เหลือ 10%

เจมิสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าของสหรัฐ ให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ว่า จีนยังตกลงที่จะยกเลิกมาตรการตอบโต้การส่งออกที่ออกหลังวันที่ 2 เมษายน ซึ่งรวมถึงข้อจำกัดเกี่ยวกับแร่ธาตุหายากและแม่เหล็ก ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงอีกด้วย

ข้อตกลงเมื่อวันจันทร์ยังไม่รวมถึงการยกเว้นการเก็บภาษีขั้นต่ำ สำหรับการขนส่งสินค้ามูลค่าไม่สูงนักจากจีนและฮ่องกงไปยังสหรัฐ ซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทำการยกเลิกไปเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมด้วย

ADVERTISMENT

ตลาดการเงินแสดงความยินดีกับการผ่อนปรนความขัดแย้งที่ทำให้การค้าสองทางมูลค่าเกือบ 6 แสนล้านดอลลาร์หยุดชะงัก ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและเกิดการเลิกจ้าง

หุ้นวอลล์สตรีทปิดตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมากกว่า 3.2% หลังการประกาศดีลการค้า และปิดตัวในระดับสูงสุดตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม ขณะที่ดัชนีดาวน์โจนส์พุ่งขึ้น 2.8% และดัชนี Nasdaq ซึ่งเน้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 4.3% ปิดในระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์

หุ้นยุโรปก็พุ่งสูงขึ้นในวันจันทร์เช่นกัน โดยเฉพาะหุ้นของบริษัทขนส่งอย่าง Maersk ของเดนมาร์กพุ่งขึ้นมากกว่า 12% และ Hapag-Lloyd ของเยอรมนีพุ่งขึ้น 14% ด้านดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงก็ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 3%

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเช่นกัน ขณะที่ราคาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยลดลง 3.1% มาอยู่ที่ 3,223.57 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพราะทุกฝ่ายคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าของทรัมป์ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก เช่นเดียวกับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเกือบ 4% หลังสหรัฐ-จีนประกาศข้อตกลงการค้า

อย่างไรก็ดีข้อตกลงเบื้องต้นนี้ก็ไม่ถือว่าสามารถลบล้างความวิตกกังวลทั้งหมดลง เพราะต้องจับตาดูการเจรจาขั้นต่อไประหว่างสองฝ่าย ขณะที่นักลงทุนและนักธุรกิจเรียกร้องให้มีความชัดเจนมากขึ้นว่า ที่สุดแล้วการผ่อนคลายมาตรการทางการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกจะมีความยั่งยืนหรือไม่

ด้านทรัมป์และพันธมิตรชื่นชมข้อตกลงดังกล่าวว่าเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่า กลยุทธ์ภาษีศุลกากรที่ก้าวร้าวรุนแรงของเขานั้นให้ผลตอบแทน เห็นได้จากที่สหรัฐบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับอังกฤษและจีน

ทรัมป์กล่าวที่ทำเนียบขาวว่า “พวกเขาตกลงที่จะเปิดประเทศจีน เปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ และผมคิดว่ามันจะยอดเยี่ยมมากสำหรับจีน ผมคิดว่ามันจะยอดเยี่ยมมากสำหรับเรา และผมคิดว่ามันจะยอดเยี่ยมมากสำหรับความสามัคคีและสันติภาพ”

ทรัมป์กล่าวหลังจากมีการประกาศข้อตกลงว่า “เราไม่ได้ต้องการทำร้ายจีน เพราะจีนกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก พวกเขาปิดโรงงาน พวกเขากำลังมีความไม่สงบมากมาย และพวกเขามีความสุขมากที่สามารถทำอะไรบางอย่างกับเราได้” พร้อมแสดงความคาดหวังว่า เขาจะได้พูดคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน บางทีอาจจะในช่วงปลายสัปดาห์นี้

ทรัมป์กล่าวว่า เนื่องจากภาษีนำเข้าบางส่วนถูกระงับไว้แทนที่จะถูกยกเลิกโดยสิ้นเชิง ดังนั้นภาษีนำเข้าอาจเพิ่มขึ้นอีกครั้งในอีก 3 เดือนข้างหน้า หากไม่มีความคืบหน้าใดๆ เพิ่มเติมจากในปัจจุบัน แต่เขาไม่คิดว่าภาษีจะกลับไปแตะระดับสูงสุดที่ 145% ซึ่งเคยบังคับใช้ก่อนหน้านี้

ยังไม่ชัดเจนว่าความไม่สมดุลทางการค้าอย่างรุนแรงซึ่งส่งผลให้ภาคการผลิตของสหรัฐตกต่ำจะได้รับการแก้ไขหรือไม่ แม้แต่นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ ซึ่งเป็นผู้เจรจาจนบรรลุข้อตกลงกับจีนก็ยังยอมรับว่า จะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะสามารถปรับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนได้ใหม่

เบสเซนต์กล่าวด้วยว่า สิ่งที่คณะผู้แทนจากทั้งสองชาติมีฉันทามติร่วมกันคือไม่มีฝ่ายใดต้องการการแยกตัวออกไป เราต้องการการค้าที่สมดุลมากขึ้น และผมคิดว่าทั้งสองฝ่ายมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น อย่างไรก็ดีเขาบอกว่ายังไม่ได้มีการกำหนดวันสำหรับการประชุมครั้งหน้า แต่ทั้งสองฝ่ายก็พร้อมที่จะเจรจากันต่อไป

สถานีโทรทัศน์ CCTV สื่อของรัฐบาลจีน ระบุว่า จีนยึดมั่นในหลักการของตนขณะเดียวกันก็เปิดทางสู่ความร่วมมือที่มากขึ้นกับสหรัฐ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนจากท่าทีท้าทายเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยชี้ว่า “ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนและสหรัฐมีรากฐานที่ลึกซึ้ง มีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ และมีพื้นที่ที่กว้างขวางสำหรับการพัฒนา”

สก็อตต์ เคนเนดี ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจและเศรษฐกิจจีนจาก ศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และนานาชาติ หรือ  Center for Strategic and International Studies (CSIS) สถาบันวิจัยนโยบายในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า รัฐบาลจำเป็นต้องถอย ไม่เช่นนั้นอาจเกิดเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายร้ายแรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐ

“นี่คือการถอยของสหรัฐ 100% ไม่ใช่การยอมจำนนของจีน สหรัฐเป็นฝ่ายเริ่มสงครามการค้าและเป็นฝ่ายยกระดับสงครามให้บานปลาย จีนเพียงแต่ตอบโต้ และตอนนี้พวกเขาก็แค่ยกเลิกมาตรการตอบโต้เท่านั้น” เคนเนดีกล่าว

ขณะที่เคลลี แอนน์ ชอว์ ทนายความจาก Akin Gump Strauss Hauer & Feld ซึ่งทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านการค้าคนสำคัญในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกกล่าวว่า ทรัมป์เพียงแค่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ตอนหาเสียงเท่านั้น

เธอกล่าวว่า ประธานาธิบดีกำลังทำในสิ่งที่เขาพูดไว้ นี่เป็นเรื่องของการแก้ไขความไม่สมดุลในความสัมพันธ์ทางการค้าอย่างแท้จริง แต่ก็ยอมรับว่าเวลา 90 วันนั้นไม่เพียงพอที่จะแก้ไขข้อกังวลหลักของสหรัฐ อาทิ อุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีอย่างเงินอุดหนุนลงทุนและแรงงาน ดังนั้นพวกเขามีงานที่ต้องทำมาก