ศักยภาพและความได้เปรียบของไทย สู่การเป็นคลังพลังงานการบินสะอาดภูมิภาคอาเซียน

Screenshot

ปัจจุบัน เชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel : SAF) ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายว่า เป็นกุญแจสำคัญของอุตสาหกรรมการบินคาร์บอนต่ำ ที่สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดอายุการใช้งานได้สูงถึงราว 80% เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงอากาศยานจากฟอสซิล

เมื่อ ICAO กำหนดให้สายการบินสามารถใช้ SAF เป็นทางเลือกในการชดเชยปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเที่ยวบินระหว่างประเทศ ส่งผลให้ SAF เริ่มเป็นที่ต้องการของสายการบินมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า เมื่ออุปสงค์มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น และอุปทานในปัจจุบันยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้ตลาด SAF มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

จากฉบับที่แล้ว ผมได้เขียนถึงการเตรียมพร้อมของจีน และการประสานความร่วมมือทั้งจากภาครัฐและเอกชน เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมการบินสีเขียว ซึ่งต้องยอมรับว่า นอกจากจะทำเพื่อเป้าหมายการลดก๊าซคาร์บอน ตอบสนองต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกแล้ว ยังเป็นการเดินเกมรุกทางธุรกิจพลังงานที่จะสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนในอนาคตอีกด้วย

เมื่อทั่วโลกกำหนดนโยบายสนับสนุนการผลิตและการใช้ SAF เห็นได้จากการทยอยออกกฎระเบียบของประเทศต่างๆ โดยสหภาพยุโรปเป็นผู้นำกำหนดให้เพิ่มสัดส่วนการใช้ SAF สำหรับสายการบินที่จะลงจอดในสนามบินของกลุ่มประเทศสมาชิก EU 

สำหรับด้านภูมิภาคเอเชีย ภายในปี 2573 รัฐบาลจีนกำหนดเป้าหมายการผลิต SAF ที่ 10 ล้านตันต่อปี และญี่ปุ่นกำหนดเป้าหมายการใช้ SAF ในสัดส่วน 10% ของเชื้อเพลิงการบิน ขณะที่ประเทศไทย สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) และกรมธุรกิจพลังงานอยู่ระหว่างดำเนินการกำหนดให้สายการบินต้องใช้ SAF อย่างน้อย 1% ในปี 2569

ADVERTISMENT

ความสามารถในการผลิต SAF ทั้งโลกในปัจจุบันอยู่ที่ 1.5 ล้านตันต่อปี ในขณะที่ เที่ยวบินที่ทั่วโลกใช้เชื้อเพลิงอากาศยานอยู่ราว 316 ล้านตันต่อปี นั่นหมายความว่า กำลังการผลิต SAF ในปัจจุบัน ยังต่ำกว่าประมาณการความต้องการที่จำเป็นต่อข้อกำหนด 

ยิ่งไปกว่านั้น การผลิต SAF ในปัจจุบันเกือบทั้งหมดผลิตจากน้ำมันใช้แล้ว ด้วยกระบวนการ HEFA (Hydroprocessed Esters and Fatty Acids) ซึ่งอาจเพียงพอต่อความต้องการในระยะสั้น แต่ปัญหาวัตถุดิบที่มีอยู่อย่างจำกัดจะส่งผลต่อการเพิ่มกำลังการผลิตในระยะยาว

สำหรับประเทศไทย หลังจากภาครัฐได้บรรจุ SAF เข้าไปใน (ร่าง) แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ.2567-2580 (AEDP 2024) โดยมีเป้าหมายสัดส่วนการใช้ SAF อยู่ที่ 1% ของเชื้อเพลิงการบินทั้งหมด ภายในปี 2569 ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตื่นตัวและให้ความสนใจในธุรกิจการผลิต SAF 

ล่าสุด มีผู้ประกอบการเปิดหน่วยผลิต SAF ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะแห่งแรกของประเทศไทย เริ่มทำการผลิต SAF ด้วยการแปรรูปกรดไขมันหรือน้ำมันพืช เช่น น้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้นที่ 1 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งนับว่าปริมาณยังห่างไกลจากเป้าหมายของการบริโภคน้ำมันชนิดนี้ในระยะยาว

หากพิจารณาศักยภาพของประเทศไทยในการผลิต SAF อย่างรอบด้าน จะพบว่า ปัจจัยที่น่าจับตามองที่สุด ไม่ใช่เพียงความพร้อมของเทคโนโลยีหรือแผนการลงทุนในโรงกลั่น SAF เท่านั้น แต่คือ ความได้เปรียบทางด้าน “ศักยภาพเชิงพื้นที่และวัตถุดิบชีวภาพ” ซึ่งเป็นผลมาจากการเป็นสังคมเกษตรกรรมและภูมิประเทศถิ่นที่ตั้งที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก ทำให้เรามีความพร้อมในด้านวัตถุดิบจากชีวมวลจากภาคเกษตรและอาหาร 

ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในภูมิภาคที่มีความหลากหลายของวัตถุดิบชีวภาพที่สามารถนำมาใช้ผลิต SAF ได้ โดยเฉพาะวัตถุดิบประเภทน้ำมันพืชและเศษวัสดุพืชจากภาคเกษตรกรรม อาทิ น้ำมันใช้แล้ว ที่สามารถนำไปผ่านกระบวนการ hydrotreating สู่ SAF ได้โดยตรง หรือกากน้ำตาล ที่สามารถแปรรูปเป็นเอทานอล และต่อยอดสู่กระบวนการ Alcohol-to-Jet (ATJ) ซึ่งเป็นหนึ่งใน pathway ที่ได้รับการรับรองจาก ICAO และเศษวัสดุทางการการเกษตร หรือขยะ ที่สามารถนำไปแปรสภาพเป็นก๊าซชีวภาพหรือเชื้อเพลิงเหลวผ่านเทคโนโลยี Fischer-Tropsch

พื้นที่เพาะปลูกในประเทศไทยมีโครงสร้างการกระจายตัวที่เอื้อต่อการพัฒนา feedstock cluster สำหรับ SAF โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (มันสำปะหลัง) ภาคกลาง (อ้อย) และภาคใต้ (ปาล์มน้ำมัน) นอกจากนี้ยังมีระบบสหกรณ์การเกษตรและผู้ผลิตวัตถุดิบชีวภาพรายย่อยจำนวนมากที่สามารถพัฒนาเป็น “Biofeed Network” เพื่อป้อนเข้าสู่ระบบการผลิต SAF อย่างยั่งยืนในอนาคตได้

รายงานของกรมธุรกิจพลังงาน ปี 2566 ยังระบุว่า ไทยมีการใช้พื้นที่ปลูกพืชพลังงานแบบหมุนเวียนได้ โดยไม่กระทบต่อการผลิตอาหาร จึงสามารถรองรับการขยายกำลังผลิต SAF โดยไม่สร้างความขัดแย้งระหว่างอาหารและเชื้อเพลิง อย่างที่หลายประเทศต้องเผชิญ และด้วยข้อได้เปรียบทางด้านการเกษตร ทำให้ประเทศไทยยังสามารถวิจัยพันธุ์พืชทางเลือกอื่นๆ และพัฒนาสายพันธุ์ให้ตอบโจทย์กับการผลิต SAF ได้อย่างสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มผลผลิตน้ำมัน ความเหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ การเจริญเติบโต และกระบวนการแปรรูปเป็น SAF 

ในปัจจุบัน หลายประเทศรวมถึงประเทศไทย เริ่มมีการวิจัยและพัฒนาการปลูกพืชพลังงานที่หลากหลายยิ่งขึ้น พืชที่น่าสนใจอย่างเช่น คาเมไลนา (Camelina sativa) และหยีน้ำ (Pongamia pinnata) เป็นพืชที่ให้ผลผลิตน้ำมันสูงถึง 30-40% เหมาะสำหรับการผลิตไบโอดีเซล และด้วยคุณสมบัติที่ทนต่อความแล้ง ทำให้สามารถเพาะปลูกบนที่ดินที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกพืชอาหาร หรือปลูกเป็นพืชหมุนเวียนระหว่างพืชอาหารหลัก ทำให้ไม่เกิดปัญหาการแข่งขันระหว่างพืชอาหารและพืชเชื้อเพลิง 

สำหรับในประเทศไทย บาฟส์ ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยนเรศวร และเครือข่าย ในการวิจัยและพัฒนาคัดเลือกหรือพัฒนาสายพันธุ์ คาเมไลนา เพื่อสกัดน้ำมันชีวภาพ โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิผลและประสิทธิภาพในการปลูก รวมถึงพิจารณาความเป็นไปได้ในเชิงอุตสาหกรรม ตลอดจนค้นหาโอกาสในการส่งเสริมให้มีการปลูกทดแทนระหว่างพักแปลง เพื่อเป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร 

จากความได้เปรียบทางพื้นที่ และทักษะจากภาคเกษตรกรรม หากผู้ประกอบการไทยให้ความสนใจในการเพิ่มกำลังการผลิต SAF ควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยี จะส่งผลให้ไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการผลิต SAF ในภูมิภาคอาเซียน เพราะประเทศไทยไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นจากศูนย์ในตลาด SAF แต่เรามี “ต้นทุนทางธรรมชาติ” และ “ระบบเกษตรกรรม” ที่พร้อมต่อยอด 

จุดที่ท้าทายจึงไม่ใช่การผลิต แต่คือการบูรณาการเพื่อเชื่อมไร่นาสู่การบินแห่งอนาคต ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานตลอดห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการร่วมมือกันในทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับนโยบาย การสนับสนุนจากภาครัฐ ความมุ่งมั่นของผู้ประกอบการในภาคเอกชน และภาคการเกษตร

หากเราร่วมกันลงมือทำ ประเทศไทยจะไม่เพียงเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก แต่จะกลายเป็น “คลังพลังงานการบินสะอาดของภูมิภาคอาเซียน” 

และลดการพึ่งพาพลังงานจากประเทศอื่นอีกด้วย!!