แสงสว่างปลายอุโมงค์… ที่อาจจะเริ่มเลือนราง

บทความ “คิด เห็น แชร์” ฉบับนี้ ผมขอพูดถึงภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทย หลังจากที่ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเมืองเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง แม้เพียงไม่กี่วันก่อนที่บทความนี้จะเขียนขึ้น ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวจากปัจจัยบวกหลายด้าน โดยเฉพาะความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐ ซึ่งมีความหวังว่าจะช่วยหลีกเลี่ยงอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่จะบังคับใช้กับสินค้าส่งออกไทยภายในเส้นตายวันที่ 8 กรกฎาคมนี้ (ครบกรอบระยะเวลา 90 วัน) นอกจากนี้ ยังมีความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ที่อาจช่วยหนุนการบริโภคและภาคธุรกิจให้ฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง แต่สถานการณ์กลับเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เมื่อความไม่แน่นอนทางการเมืองเข้ามาแทรกซ้อน กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงใหม่ที่อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2568 และหากพิจารณาจากองค์ประกอบในปัจจุบัน มีแนวโน้มสูงที่ GDP ในไตรมาส 1 จะเป็น “ไตรมาสที่ดีที่สุดของปี” ตามที่เราเคยคาดไว้

เสถียรภาพการเมืองเริ่มสั่นคลอน
จุดเปลี่ยนสำคัญคือความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และนำไปสู่ท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคที่เริ่มถอนตัวหรือแสดงจุดยืนไม่สนับสนุนรัฐบาล เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เกิดความกังวลถึงความเป็นไปได้ในการ “ยุบสภา” หรือ “เปลี่ยนนายกรัฐมนตรี” ในช่วง
หัวเลี้ยวหัวต่อของนโยบายเศรษฐกิจ หากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระยะสั้น นอกจากจะกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนแล้ว ยังอาจทำให้การเจรจาการค้ากับสหรัฐต้องชะงัก เช่นเดียวกับการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ซึ่งถือเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีหน้า หากไม่ผ่านสภาตามกรอบเวลา อาจกระทบเม็ดเงินลงทุนภาครัฐและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ในกรณีที่รัฐบาลยังบริหารประเทศต่อด้วยเสียง “ปริ่มน้ำ” ย่อมนำมาซึ่งความเปราะบาง และยากต่อการขับเคลื่อนนโยบายระยะกลาง ทำให้นักลงทุนและภาคธุรกิจไม่สามารถคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจได้อย่างมั่นใจ

ความหวังอยู่ที่การลดดอกเบี้ยนโยบาย
ในภาวะที่ปัจจัยการเมืองและเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง ความคาดหวังของตลาดจึงกลับไปอยู่ที่ “นโยบายการเงิน” เป็นหลัก เดิมเราคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% หลังจากปรับลดไปแล้ว 0.25% ในการประชุมครั้งก่อนหน้า เพื่อรอดูผลกระทบก่อนปรับอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ภาคการบริโภคยังไม่ฟื้น และจำนวนนักท่องเที่ยวเริ่มชะลอลง มีโอกาสที่ ธปท.จะต้องพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยอีก ก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 1.75% เช่นกัน แต่เศรษฐกิจขณะนั้นมีเสถียรภาพกว่าปัจจุบันอย่างมาก ปัจจุบันแม้เศรษฐกิจอ่อนแอลงชัดเจน แต่ดอกเบี้ยกลับยังสูงเท่าเดิม ขณะที่ปัญหาทางการเมืองยิ่งซ้ำเติมความเชื่อมั่นของภาคเอกชนด้วยเหตุนี้ ผมประเมินว่า ธปท.มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้งภายในครึ่งหลังของปี ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยของไทยลดลงสู่ระดับ 1.0% เพื่อช่วยประคับประคองเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน

ปัจจัยต่างประเทศยังไม่จบ
ขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่อาจลุกลามจนกลายเป็นสงคราม หากสถานการณ์ยืดเยื้อหรือรุนแรงขึ้น ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อาจพุ่งสูง นำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดจากฝั่งอุปทาน (Cost-Push Inflation) ในกรณีดังกล่าว อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ตัดสินใจ “ชะลอ” การลดดอกเบี้ยออกไป เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก รวมถึงตลาดเกิดใหม่อย่างไทยด้วย

ADVERTISMENT

หุ้นไทย…ถูก เป็นโอกาสของ Value investors
เมื่อหันกลับมามองตลาดหุ้นไทย ปัจจุบันถือว่ามี Valuation ที่ “ถูกมาก” เมื่อเทียบกับข้อมูลในอดีต โดยเฉพาะดัชนี SET ที่มีอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าทางบัญชี (PBV) ราว 1.0 เท่า ต่ำกว่าช่วงวิกฤตโควิด-19 และใกล้เคียงระดับต่ำสุดช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (ปี 2008) ที่ประมาณ 0.85 เท่า ในเชิงมูลค่าแล้ว Downside ของตลาดฯจึงอาจมีไม่มาก แต่ปัญหาคือ “Sentiment” หรือความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังอ่อนแรง โดยเฉพาะจากปัจจัยการเมืองในประเทศ และความไม่แน่นอนของนโยบาย ในภาวะแบบนี้ สำหรับนักลงทุนระยะยาวหรือ Value Investor อาจถือเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดีที่มีอัตราปันผลสูง เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ หรือกลุ่มพลังงาน เช่น PTT โดยใช้กลยุทธ์ “รอซื้อเมื่ออ่อนตัว” ในทางกลับกัน นักลงทุนระยะสั้นอาจต้อง “Wait & See” ไปก่อน เพื่อรอดูความชัดเจนของสถานการณ์หลักๆ ทั้งในเรื่องการเมือง นโยบายการเงิน และผลการเจรจาการค้ากับสหรัฐ

ทั้งนี้ ผมยังคาดหวังว่าความเสี่ยงต่างๆ จะค่อยๆ คลี่คลาย โดยเฉพาะประเด็นการเมือง ที่หากสามารถประคับประคองให้ผ่านช่วงสำคัญได้ ก็จะช่วยให้การเจรจาการค้ากับสหรัฐดำเนินต่อได้ รวมถึงการผลักดันงบประมาณปี 2569 ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลัง
ของปี 2568 นี้