“พาณิชย์”ตั้งเป้าดันไทยฮับผลิตภาพยนตร์ในอาเซียน

นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงฯกำลังเร่งบูรณาการกับหลายหน่วยงาน เพื่อผลักดันธุรกิจบริการด้านภาพยนตร์เพื่อสร้างรากฐานแห่งการเป็นศูนย์กลางสำหรับการผลิตและตัดต่อภาพยนตร์ของอาเซียน โดยธุรกิจบริการด้านภาพยนตร์สร้างรายได้หมุนเวียนในระบบกว่า 3 หมื่นล้านบาทต่อปี หากธุรกิจนี้เติบโตก็จะพาให้ธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องเติบโตไปด้วย เช่น ธุรกิจบริการสตูดิโอและอุปกรณ์ในการถ่ายภาพยนตร์ บริการเช่ารถ นักแสดง ธุรกิจบริการด้านสถานที่ ธุรกิจบริการด้านคอมพิวเตอร์กราฟฟิคและเทคนิคพิเศษ(เอฟเฟ็กต์) ธุรกิจโรงภาพยนตร์ รวมไปถึงร้านอาหาร การจัดเลี้ยง เป็นต้น ซึ่งจะทำให้เงินในเศรษฐกิจไทยหมุนเวียนได้อีกมากมาย

นางอภีรดี กล่าวว่า ปีนี้กระทรวงฯได้กำหนดยุทธศาสตร์เกี่ยวกับธุรกิจบริการด้านภาพยนตร์ไว้ 7 ด้าน คือ1.สร้างให้ไทยเป็นฐานการผลิตงาน ฐานการลงทุนที่มีคุณภาพสูงของเอเชีย และเป็นประตูสำหรับนักลงทุน นักธุรกิจต่างชาติที่จะเข้ามาทำธุรกิจในภูมิภาค 2.พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในสาขานี้ ให้มีขีดความสามารถสูงในการคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างผลงานใหม่ ๆ และพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้สามารถรับจ้างผลิตงานที่มีคุณภาพ เป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศมากขึ้น 3.สร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลและหน่วยงานภาคปอกชนกับกลุ่มประเทศเป้าหมาย 4.ขยายตลาดการส่งออกภาพยนตร์ไทยเพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออก 5.สร้างเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเนื้อหาสร้างสรรค์ ทรัพย์สินทางปัญญา และแบรนด์ไทย และสร้างศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย 6.เพิ่มความสัมพันธ์ทางธุรกิจ ขยายตลาดกับบริษัทต่างชาติ และกระตุ้นการร่วมผลิตและลงทุน 7.สร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและหน่วยงานภาคเอกชนกับกลุ่มประเทศเป้าหมาย

นางอภิรดี กล่าวอีกว่า ปีที่ผ่านมาจำนวนของภาพยนตร์ที่ใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำเพิ่มขึ้นถึง 15% ส่วนที่นำรายได้เข้าสู่ประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การรับจ้างผลิตภาพยนตร์ การตัดต่อ บริการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย และขายลิขสิทธิ์ ปัจจุบันมีนักแสดง ผู้สร้างภาพยนตร์ อนิเมชั่น และเทคนิคพิเศษของไทยที่ได้รับรางวัล และได้ร่วมแสดงภาพยนตร์ที่สร้างรายได้ให้ประเทศปีละหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ รัฐบาลจึงได้ประกาศสิทธิประโยชน์ให้กับภาพยนตร์และสื่อโทรทัศน์ที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทยที่จะมีผลในปีนี้ คือการให้เงินคืน 15% สำหรับโปรเจคที่มีการลงทุนภายในประเทศไทยขั้นต่ำ 50 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 20% ได้เมื่อรวมกับ 3% หากมีการจ้างงานบุคลากรไทยในตำแหน่งที่สำคัญกับโปรเจคนั้นๆ และอีก 2% หากมีการโปรโมทประเทศไทยในด้านการท่องเที่ยว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image