“ครม.”ไฟเขียวเลือกกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์สร้างรถไฟฟ้าสีชมพู-เหลืองคาดลงนามได้เดือนมิ.ย.

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนและร่างสัญญาสัมปทานโครงการถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี 34.5 กิโลเมตร (กม.) วงเงิน 5.4 หมื่นล้านบาท และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 30.4 กม. วงเงิน 5.2 หมื่นล้านบาท ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่มีผู้ชนะการประมูลคือ กิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ ประกอบด้วย บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน) บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และบริษัทซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) พร้อมกับอนุมัติให้สำนักงบประมาณจัดสรงบประมาณรายจ่ายประจำปีในลักษณะการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีไม่เกิน 5 ปี คาดว่าจะลงนามในสัญญาได้โดยเร็วที่สุด ภายในเดือนมิถุนายนนี้

นายอาคม กล่าวว่า ส่วนข้อเสนอเพิ่มเติมของผู้ชนะ ที่ต้องการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีชมพูจากถนนแจ้งวัฒนะเข้าไปยังอาคารอิมแพคและทะเลสาบในเมืองทองธานี ระยะทาง 2.8 กม. รวมทั้งต้องการต่อเชื่อมรถไฟฟ้าสีเหลืองจากสถานีรถใต้ดินลาดพร้าว บริเวณหน้าศาลอาญาไปเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวบริเวณแยกรัชโยธิน 2.6 กม. นั้น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีข้อสังเกตว่า การเชื่อมต่อดังกล่าวไม่ได้อยู่ในกรอบมติ ครม.ที่อนุมัติไว้เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2559 แต่ในร่างประกาศเชิญชวนเอกชนที่ได้กำหนดให้มีการยื่นข้อเสนออื่นๆ ดังนั้นจะไม่มีการนำข้อเสนอดังกล่าวใส่ไว้ในเอกสารแนบท้ายของสัญญา แต่จะเขียนไว้ในภาพกว้างๆรวมไว้ในสัญญาหลักภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องมีการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ และดำเนินการตามขั้นตอนของ พรบ.ร่วมทุน 2556 เป็นการกำหนดไว้แบบกว้างๆ

นายธีรพันธ์ เตชะศิรินุกูล รองผู้ว่า รฟม. ในฐานะรักษาการ ผู้ว่า รฟม. กล่าวว่า เนื่องจากทางสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตั้งข้อสังเกตว่าข้อเสนออื่นๆไม่ควรกำหนดไว้เป็นเอกสารแนบท้ายของสัญญา จึงได้มีการพิจารณาและกำหนดไว้ในสัญญาหลักข้อที่ 36. 9 ในหัวข้อที่ว่าด้วยกรณีที่เป็นข้อเสนออื่นๆที่จะเป็นประโยชน์ต่อการให้บริการ และการดำเนินการจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการของกฎหมาย คือจะต้องมีการศึกษาความเหมาะสมของโครงการและจัดทำรายงานอีไอเอ จากนั้นจึงจะมีการวิเคราะห์รายละเอียดโครงการ และต้องดำเนินการตาม พรบ.ร่วมทุน 2556 หากเห็นว่าเป็นโครงการที่มีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ก็สามารถที่จะเจรจาโดยจะให้มีการรวมไว้ในสัญญานี้ ซึ่งจะเป็นขั้นตอนของคณะกรรมการตามมาตรา 43 ในพรบ.ร่วมทุน 2556 ที่จะเข้ามารับผิดชอบในการเจรจาต่อไป

“การดำเนินการส่วนต่อขยายทั้ง 2 โครงการนี้ จะต้องดำเนินการตามขั้นตอน โดยกำหนดกรอบว่าจะต้องจัดทำรายละเอียดตามขั้นตอนและเสนอขออนุมัติจาก ครม.ภายในกรอบเวลา 3 ปี 3 เดือน หากไม่ดำเนินการภายในกรอบเวลาก็ถือว่าเป็นการยกเลิกข้อเสนอนี้ไป ส่วนการก่อสร้างจะดำเนินการหลังจากอนุมัติโครงการได้ ทั้งนี้ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการศึกษาความเหมาะสมโครงการ การจัดทำอีไอเอ การเวนคืนที่ดินต่างๆ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง เอกชนจะต้องรับภาระทั้งหมด ซึ่งเป็นไปตามผลการเจรจากับเอกชนก่อนหน้านี้ แต่ในสัญญาข้อ 39.6 จะไม่ได้กำหนดรายละเอียดใดๆ นอกจากระบุว่าข้อเสนอเพิ่มเติมจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการที่กำหนด”นายธีรพันธ์ กล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image