นายคอร์ โฮ อี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ สำนักวิจัยเศรษฐกิจมหภาคแห่งภูมิภาคอาเซียนบวก3 (จีน ญีปุ่น เกาหลี) กล่าวว่า ปี 2560 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโต 3.4% และเพิ่มเป็น 3.5% ในปี 2561 ผลจากฐานการเติบโตที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงผลกระทบจากแรงกระแทกหลากหลายมิติที่เข้ามากระทบไทย แต่เนื่องจากไทยมีฐานะการเงินและการคลังที่เข้มแข็งเป็นพื้นฐาน ทั้งเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน หนี้สาธารณะต่ำอยู่ประมาณ 40% ของจีดีพี หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีหนี้สาธารณะสูง 60%ของจีดีพี ถือเป็นแรงสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
” ในภาพรวมยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยยังเติบโตไม่เต็มศักยภาพ เพราะการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่ำ ยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง กดดันการบริโภคในประเทศ และหนี้เอ็นพีแอลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี ส่วนปี 2561 คาดขยับขึ้นมาแตะ1% ส่วนนี้เชื่อว่านโยบายการเงินของ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ยังมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะใช้ในการดูแลสถานการณ์ต่างๆ ในภาคการเงินระยะต่อไปได้ เหมือนกับนโยบายการคลังไทยสามารถเพิ่มการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ”
นายคอร์ โฮ อี้ กล่าวว่า ความท้าทายของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว คือ การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจเพื่อให้กลับมาฟื้นตัวได้ตามศักยภาพ ซึ่งต้องปรับหลายด้าน อาทิ โครงสร้างพื้นฐาน การผลิต เป็นต้น ขณะที่แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนบวก3 ในปีนี้คาดขยายตัวได้ 5.2% และลดลงเหลือ 5.1% ในปี 2561 เพราะความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจโลก จะผลกระทบของการนำเข้าและส่งออกเศรษฐกิจประเทศสำคัญเริ่มปรับตัวดีขึ้นแต่การฟื้นตัวแบบอ่อนไหว ตามความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐ และภาคการเงินโลกกำลังตึงตัวขึ้น ผลการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายยุทธศาสตร์และความสัมพันธ์องค์กร ธปท. กล่าวว่า ตลาดการเงินมีการรับรู้มาระยะหนึ่งแล้วว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงไม่น่ามีผลกระทบกับภาคการเงินมากนัก ส่วนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าต่ำกว่าคาด ส่วนอัตราการว่างงานอยู่ระดับต่ำ 4.5% จากช่วงวิกฤติอยู่ที่ 9% ทำให้เห็นว่าการจ้างงานเต็มระดับศักยภาพแล้ว
