เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. นายดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกชื่อดัง เผยแพร่ข้อความในเฟซบุ๊ก มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับระบบรถไฟ ซึ่งล่าสุดมีการใช้มาตรา 44 ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน เนื้อหาโดยสรุปคือ ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ทําสัญญาจ้างรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นตัวแทนของจีนที่มีประสบการณ์ตรงด้านการพัฒนารถไฟความเร็วสูงที่ได้รับการรับรองคุณภาพและประสิทธิภาพจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจีนเพื่อเข้ามาดําเนินการโครงการ คือ 1.งานออกแบบรายละเอียดโครงสร้างพื้นฐานด้านโยธา 2.งานที่ปรึกษาควบคุมงานการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านโยธา และ 3.งานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร
นายดวงฤทธิ์ ได้แสดงความคิดเห็นว่า การทำระบบรถไฟ ไม่ใช่แค่ให้มีความเร็วสูง แต่ต้องทำให้รถไฟกลายเป็นเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกภาคส่วน รวมถึงมองในประเด็นการถ่ายทอดเทคโนโลยี การยกระบบให้ต่างชาติบริหาร 30 ปี เชื่อว่าจะส่งผลลบทางเศรษฐกิจไปอีกหลายปี นอกจากนี้ การเปิดทางให้สถาปนิกและวิศวกรต่างชาติเข้ามาดำเนินการในลักษณะนี้ ถือว่าผิดกฎหมายหลายฉบับ ทั้งยังไม่ได้มีแนวคิดในการพัฒนาคนไทยพร้อมกันอย่างมีชั้นเชิง
ข้อความของนายดวงฤทธิ์ มีดังนี้
จะทำรถไฟ ไม่ใช่แค่ให้มีความเร็วสูง ต้องคิดให้รถไฟกลายเป็นเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกภาคส่วนให้ได้
ไม่ใช่ทำแค่ให้มีรถไฟ
คนที่มีสติปัญญา ต้องคิดถึงเรื่องการ ‘ถ่ายทอดเทคโนโลยี’ เป็นสำคัญ หลอกให้เขามาทำรถไฟให้ ก็ต้องลวงเอาความรู้เขามาถ่ายทอดให้คนไทยด้วย มันจะได้คุ้มค่ากับการลงทุน ประเทศนี้คงไม่ได้จำเป็นจะมีทางรถไฟกันแค่เส้นเดียวแน่ แต่จะยกทั้งระบบไปให้ประเทศอื่นเขาบริหาร 30 ปีแบบเส้นนี้ ลูกหลานเราคงไม่ต้องลืมตาอ้าปาก ง่อยเปลี้ยทางเศรษฐกิจกันไปอีกหลายปี
นี่ยังไม่นับว่ามีการวางแผนหรือยังว่าหลังจากทำรถไฟเสร็จแล้วจะใช้มันอย่างไรให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบพลิกประเทศ ทำให้มันขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้จริง ไม่ใช่ทำเสร็จแล้วก็จุดธูปสวดมนต์อธิฐานให้มีคนมาใช้ แล้วปล่อยให้เจ๊งไปเหมือนระบบรถไฟฟ้าบางสายในปัจจุบัน
การให้เขาเข้ามาทำระบบรถไฟ โดยที่คนไทยไม่ได้เป็นเจ้าของ สถาปนิกวิศวกรก็ใช้ของเขาหมด นอกจากปัญหาว่าผิดกฎหมายหลายฉบับแล้ว ยังไม่ได้มีแนวคิดอะไรเลยในการพัฒนาคนไทยไปพร้อมกันอย่างมีชั้นเชิง ก็เป็นแค่โครงการขนาดใหญ่ที่สุกเอาเผากิน รีบๆทำกันไปแบบไม่รอบคอบอีกโครงการนึงเท่านั้น
ไม่อยากจะเปรียบเทียบเลย แต่ความซับซ้อนที่สมัยคุณชัชชาติแกวางแผนไว้สำหรับระบบรางของประเทศนั้นมันซับซ้อนกว่าหลายเท่าตัวนัก มีการประสานระบบเก่าใหม่เข้าด้วยกันอย่างยั่งยืน ดูแล้วเห็นภาพชัดเจนเลยว่า รถไฟความเร็วสูง จะเข้ามาทำให้เศรษฐกิจก้าวหน้าในระยะยาวได้อย่างไร ใช้เงินน้อยกว่า และไม่ต้องยกระบบให้ใครไปบริหารกัน 30 ปีแบบนี้
ที่สำคัญ ไม่ต้องมาใช้ ม.44