“บิ๊กตู่” พา ครม.ชมเรือนรับรองหลังใหม่ หวังใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในอนาคต ควักกระเป๋าสามแสนห้าซื้อพระบรมรูป ร.9 ไว้ประดิษฐาน
เมื่อเวลา 08.35 น. วันที่ 20 มิถุนายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) เยี่ยมชมความคืบหน้าอาคารเรือนรับรองหลังใหม่ บริเวณหลังตึกไทยคู่ฟ้า โดยมี พล.ต.ธีรพล มณีแสง เจ้ากรมยุทธโยธาทหารบก และนายจักริน อุตตะมะ มัณฑนากรชำนาญการพิเศษ จากกรมศิลปากร ที่รับผิดชอบดูแลงานออกแบบและก่อสร้าง ให้การต้อนรับและเตรียมบรรยายสรุปรายละเอียดให้ทราบ แต่ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นผู้อธิบายรายละเอียดทั้งการตกแต่งภายในตัวอาคารและพา ครม.เดินชมห้องต่างๆ ด้วยตัวเอง โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงสีเหลืองที่ใช้ทาในตัวอาคารว่า สีเหลืองเป็นสีประจำวันเฉลิมพระชนมพรรษาหรือวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช แต่ตนจะให้ไปดูว่าอาคารหลังใหม่นี้ควรจะมีสีฟ้าซึ่งเป็นสีของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถด้วยหรือไม่ อาคารนี้ใช้งบประมาณ 137,371,700 บาท ควบคุมการก่อสร้างออกแบบโดยกรมศิลปากรให้สอดคล้องกับยุคสมัย ซึ่งเราต้องมีสิ่งเหล่านี้ไว้บ้างเพราะเราใช้ตึกเก่ามาเป็นเวลาหลายปี แขกหลายประเทศมีความภูมิใจที่ได้มาเยือนสถานที่สวยงามของไทย ซึ่งเป็นศิลปะทั้งตะวันตกและตะวันออก ตอนนี้ก่อสร้างเสร็จไปประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ ในวันหน้าทำเนียบรัฐบาลก็อาจะใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้บ้าง ขณะนี้ก็มีเด็กนักเรียนมาชมทุกสัปดาห์อยู่แล้ว เป็นการพัฒนาโดยไม่ลืมสิ่งที่เป็นประวัติศาสตร์เดิมด้วย ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ใช้เวลานำ ครม.ชมอาคารประมาณ 15 นาทีก่อนที่จะพา ครม.เดินไปยังตึกบัญชาการเพื่อขึ้นประชุม ครม.
ผู้สื่อข่าวถามว่า ไปดูอาคารมาแล้วอยากพูดอะไรกับสื่อบ้างหรือไม่ นายกฯตอบว่า “ไม่อยาก ไม่ใช่เวลาจะคุย ไม่รู้จะคุยอะไร อาคารแห่งนี้สร้างเป็นสมบัติชาติ ไม่ได้สร้างเพื่อใคร และไม่ได้สร้างเพื่อให้ใครรัก”
เมื่อถามว่า นายกฯตั้งชื่ออาคารเรือนรับรองหลังใหม่หรือยัง พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตอบกลับแต่อย่างใด
จากนั้นได้ไปพบและพูดคุยกับนายมานพ สุวรรณปินฑะ ศิลปินที่ใช้เวลาปั้นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชถึง 9 ปี ที่ พล.อ.ประยุทธ์ตามหาและอยากพบตัว โดย พล.อ.ประยุทธ์ใช้เงินส่วนตัวซื้อผลงานปั้นพระบรมรูปของนายมานพในราคา 3.5 แสนบาท เพื่อจะนำพระบรมรูปดังกล่าวไปประดิษฐานไว้ที่อาคารเรือนรับรองหลังใหม่
