ความจริงวงดุริยางค์ฟีลฮาร์โมนิกแห่งประเทศไทย (ทีพีโอ) บรรเลงจบฤดูที่ 12 ด้วยผลงานของเบโธเฟน ซิมโฟนี หมายเลข 9 เมื่อวันที่ 22-23 กันยายน 2560 ไปแล้ว แต่เนื่องจากมีการแสดงรายการพิเศษเพิ่มขึ้น ในวันที่ 30 กันยายน และวันที่ 1 ตุลาคม 2560 โดยมีชาวคริสต์ในประเทศไทยร่วมด้วยวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ใช้วงดุริยางค์ฟีลฮาร์โมนิกแห่งประเทศไทย และคณะนักร้อง 500 คน จากโบสถ์ต่างๆ มีอัลฟองโซ สการาโน (Alfonso Scarano) เป็นผู้ควบคุมวงดนตรี ทั้งนี้จัดดนตรีเพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 (Requiem for King Rama IX)
ในรายการแสดงบทสวดแร็กเควียม (Requiem) มีผลงานเพลงของโมสาร์ท (Mozart) แฟเร (Faure) มีผลงานของแวร์ดี (Verdi) ซึ่งถือเป็นบทเพลงแร็กเควียมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การดนตรี และยังมีบทเพลงที่ได้ประพันธ์ขึ้นใหม่โดย ณรงค์ ปรางค์เจริญ ใช้บทกวีของ สุจิตต์ วงษ์เทศ “ขวัญ” เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
สุจิตต์ วงษ์เทศ นั้นเชื่อว่าชาวตะวันออกไม่ได้เชื่อเรื่องความตายและไม่รู้จักความตายด้วยซ้ำ เพียงแต่ขวัญได้ออกจากร่างหลงทางและหายไป จึงต้องเล่นดนตรีประโคมขับกล่อมเพื่อที่จะเรียกขวัญให้กลับคืนมา
เรื่องของ “ขวัญ” จึงเป็นเรื่องที่ใหญ่ในภูมิภาคอุษาคเนย์
ทีพีโอเปิดฤดูที่ 13 เพื่อรำลึกถึงครูอัลเบอร์โต นาซารี ด้วยโอเปร่าคาวาล์เลอเรีย รูสติกานา
เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ ณ อยุธยา) กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เพื่อทรงก่อตั้งวงเครื่องสายฝรั่งหลวง (พ.ศ.2457) กรมมหรสพหลวง สยามในขณะนั้น ยังไม่มีวงซิมโฟนีออเคสตรา โดยขอโอนนักดนตรีไทยที่มีฝีมือจากกรมพิณพาทย์หลวงให้มาฝึกหัดเล่นดนตรีสากล ทั้งเครื่องเป่าและเครื่องสาย ประมาณ 20 คน โดยมีฝรั่งชื่อ นายยอน อินโนเค ชาวอังกฤษ เป็นครูสอนซึ่งก็ไม่ได้ผล เพราะครูพูดภาษาไทยไม่ได้ สอนดนตรีก็ไม่เก่ง แถมนักเรียนดนตรีก็ไม่ชอบฝึกซ้อมเครื่องดนตรีสากล และไม่ชอบอ่านโน้ตอีกต่างหากด้วย
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ได้ว่าจ้างครูอัลเบอร์โต นาซารี (Alberto Nazzari) จากเมืองตูริน ประเทศอิตาลี ซึ่งเข้ามาเป็นครูฝึกสอนวงดุริยางค์ของทหารอยู่ก่อนแล้ว (พ.ศ.2454) ที่ตึกกระทรวงกลาโหม เรียกวงเครื่องสายฝรั่งม้ารวม เนื่องจากครูนาซารีเป็นคนเก่ง สามารถสอนให้วงดนตรีเล่นเป็นเพลงได้ในระยะเวลาไม่กี่เดือน จึงมีการเสนอให้ขอครูนาซารีได้ไปสอนเครื่องสายฝรั่งหลวงแทนครูชาวอังกฤษ ซึ่งพระเจนดุริยางค์ได้บันทึกไว้ว่า
“อาจารย์นาซารีผู้นี้ ข้าพเจ้ารู้จักดีและคุ้นเคยกันมาก แม้ในเวลานั้นข้าพเจ้ายังรับราชการอยู่ในกรมรถไฟก็ตาม ท่านเป็นผู้มีอุปนิสัยอ่อนโยน อารีอารอบดี มีวิชาความรู้สูง มีความชำนาญ และมีความสามารถยิ่งในการปรับปรุงเพลงให้วงแตร เพราะเมื่อได้เข้าทำหน้าที่ไม่กี่ปี ก็สามารถนำแตรวงของกองทัพบกออกแสดงคอนเสิร์ตด้วยบทเพลงในขั้นวิจิตรศิลป์ภายในกระทรวงกลาโหมหลายครั้ง เป็นที่พอใจแก่ผู้ฟัง ซึ่งส่วนมากเป็นชาวต่างประเทศ” ต่อมาอัลเบอร์โต นาซารี ได้เป็นวาทยกรคนแรกและเป็นผู้นำวงเครื่องสายฝรั่งหลวงออกแสดงเป็นคนแรก (พ.ศ.2456) ถือเป็นกำเนิดวงออเคสตราในกรุงสยาม ซึ่งเป็นวงออเคสตราขนาดกลาง (45 ชิ้น)
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ครูนาซารีกลับไปรับใช้ชาติโดยเป็นทหารรบอยู่ในสงคราม (พ.ศ.2458-2460) เมื่อสงครามสงบลง ครูนาซารีก็ได้กลับมารับราชการเป็นผู้ควบคุมวงเครื่องสาย (28 มีนาคม 2460)
ผลงานชิ้นสำคัญของครูนาซารีคือ การแสดงโอเปร่าของมัสกัญญี (Pietro Mascagni) เรื่องคาวาล์เลอเรีย รูสติกานา (Cavalleria Rusticana) ประพันธ์ขึ้นในปี พ.ศ.2431 ขณะนั้นมัสกัญญีอายุ 25 ปี
คาวาล์เลอเรีย รูสติกานา เป็นบทเพลงมีความไพเราะ ง่าย เป็นเรื่องที่สั้น และเป็นโอเปร่าที่ชนะการประกวด ทำให้มีชื่อเสียงมาก ต้องใช้นักร้องประสานเสียงจำนวนมาก มีนักร้องตัวเอกถึง 5 คน คือ พระเอก นางเอก นางอิจฉา ตัวโกง และแม่พระเอก แต่ในสมัยนั้นไม่สามารถที่จะใช้คนไทยร้องเป็นตัวเอกได้ จะใช้ได้แค่เป็นนักร้องหมู่ประกอบเท่านั้น จึงต้องหาชาวฝรั่งที่อยู่ในเมืองสยามขณะนั้นมาช่วยร้อง
ก่อนที่คาวาล์เลอเรีย รูสติกานา จะมาแสดงในเมืองไทย ก็ได้เปิดแสดงในยุโรปไปก่อนแล้ว 30 ปี เนื่องจากเป็นเรื่องที่โด่งดังมากในยุโรป ในช่วงชีวิตของมัสกัญญี คาวาล์เลอเรีย รูสติกานา ได้เปิดแสดงในอิตาลีถึง 14,000 ครั้ง โดยไม่ได้นับเมืองอื่นๆ ในยุโรป จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ครูนาซารีเลือกเรื่องนี้มาแสดงถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และถือเป็นวันกำเนิดวงออเคสตราของไทย
คาวาล์เลอเรีย รูสติกานา มีเนื้อเรื่องคล้ายๆ ขุนช้างขุนแผนของไทย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน แคว้นทัสกานี คือพระเอกต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร เมื่อกลับมาบ้าน แฟน (นางเอก) ที่หมั้นหมายกันไว้ ก็ไปแต่งงานกับคนอื่น (ตัวโกง) พระเอกก็ไปควงผู้หญิงอื่น (นางอิจฉา) ซึ่งเป็นสาวในหมู่บ้าน นางเอกซึ่งเห็นแฟนเก่าทำอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ตัวเองก็แต่งกับคนอื่นไปแล้ว ก็ยังรู้สึกอิจฉาและหึงหวง จึงหาโอกาสที่จะพบกับพระเอก ในที่สุดถ่านไฟเก่าก็กำเริบ เมื่อสามีจับได้ว่าเธอกลับไปเป็นชู้กับแฟนเก่า (พระเอก) ในฐานะของตัวโกงก็ท้าพระเอกดวลดาบกัน สุดท้ายพระเอกถูกฆ่าตาย เธอก็ร้องไห้คร่ำครวญ เรื่องก็จบลงแค่นั้น
วงออเคสตราที่ครูนาซารีใช้สำหรับการแสดงคาวาล์เลอเรีย รูสติกานา ครั้งแรกในสยาม เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2461 มีฟลุต 2 ตัว พิกโคโล 2 ตัว โอโบ 2 ตัว คลาริเน็ต 2 ตัว เบสซูน 2 ตัว ฮอร์น 4 ตัว ทรัมเป็ต 2 ตัว ทรอมโบน 3 ตัว ทูบา 1 ตัว ทิมปานี 1 คู่ เครื่องเคาะ (ฉาบ กลองใหญ่ กลองแต๊ก โลหะสามเหลี่ยม กลองทอม ระฆังราว) ฮาร์ป ออร์แกน และเครื่องสาย
ซึ่งจากเครื่องดนตรีที่มัสกัญญีเขียนไว้ ดูจากเครื่องดนตรีในเมืองสยามสมัยนั้นแล้ว ไม่น่าจะมีครบทุกเครื่อง แต่ก็มีหลักฐานว่าเครื่องดนตรีที่ได้กล่าวถึง มีอยู่ในวงดนตรีต่างๆ อาทิ วงทหารบก วงเครื่องสายฝรั่งหลวง วงดุริยางค์ม้ารวม
และที่สำคัญก็คือ เป็นบทเพลงที่เล่นยากสำหรับนักดนตรีในสมัยนั้น ครูนาซารีก็ต้องเรียบเรียงเสียงประสานขึ้นเสียใหม่ เพื่อทำให้เพลงง่ายขึ้น และทำเสียงจากเครื่องดนตรีอื่นๆ ทดแทนเครื่องที่ไม่มีในวงดนตรี
หลักฐานที่บันทึกไว้ในจดหมายของนาซารีเขียนส่งไปที่บ้านที่เมืองตูริน อิตาลี บอกว่าได้รับช่อดอกไม้จากคณะนักร้อง นักดนตรี และยังได้รับเหรียญตราพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งหลานสาวของอัลเบอร์โต นาซารี เก็บรักษาไว้กระทั่งปัจจุบัน โดยหลานสาว (Adriana Lo Faro) ต่อมาได้ค้นคว้าจากหลักฐานทั้งในประเทศไทยและที่อิตาลี เรื่องราวของคุณตานาซารีทำให้ทราบข้อมูลการแสดงดนตรีคลาสสิกในสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นอย่างดี
อัลเบอร์โต นาซารี เกิดเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2426 เสียชีวิตวันที่ 28 มิถุนายน 2462 ด้วยโรคปอดบวม ที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ เพราะไปพายเรือในคลองสาทรแล้วเรือจม ก่อนถูกนำส่งโรงพยาบาล อายุได้ 36 ปี เรื่องคาวาล์เลอเรีย รูสติกานา ได้แสดงขึ้นครั้งแรกในกรุงสยาม จึงถือโอกาสรำลึกถึงบุคคลสำคัญที่ได้สร้างคุณงามความดีเอาไว้สำหรับคนรุ่นหลังได้ศึกษาพัฒนา
วันที่ 3-4 พฤศจิกายน 2560 เป็นการเปิดฤดูกาลปีที่ 13 ของวงดุริยางค์ฟีลฮาร์โมนิกแห่งประเทศไทย โดยนำโอเปร่า คาวาล์เลอเรีย รูสติกานา ของมัสกัญญี โดยมีนักร้องนำออสเตรีย/อิตาเลียน 4 คน ส่วนตัวพระเอกเป็นนักร้องไทย ณัฐพร ธรรมาธิ มีคณะนักร้องประสานเสียงของไทย 110 คน มีอัลฟองโซ สการาโน จากเมืองมิลาน อิตาลี เป็นผู้ควบคุมวง โดยแสดงที่อาคารมหิดลสิทธาคาร
คราวนี้ คาวาล์เลอเรีย รูสติกานา เป็นรายการเปิดฤดูกาลที่ 13 เพื่อรำลึกผู้เริ่มก่อตั้งวงออเคสตราในสยาม โดยครูอัลเบอร์โต นาซารี เมื่อ 104 ปีมาแล้ว และเป็นวันครบ 100 ปี ของการแสดงคาวาล์เลอเรีย รูสติกานา ในประเทศไทยด้วย