เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ภายหลังสำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้ากราบสักการะพระบรมศพฯ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายนจนถึงเวลา 24.00 น.ของวันที่ 5 ตุลาคม และวันนี้เป็นช่วง 2 วันสุดท้ายก่อนปิดให้ขึ้นกราบสักการะพระบรมศพฯ
โดยตลอดทั้งวันท้องฟ้ามืดครึ้มและมีฝนตกลงมาเป็นบางช่วง แต่ไม่ได้ลดทอนความตั้งใจของประชาชนที่แม้รู้ว่าต้องต่อแถวยาวเป็นระยะเวลาหลายชั่วโมง ยังมีประชาชนทยอยเดินทางมาต่อแถวเพิ่มขึ้น ทั้งบริเวณจุดคัดกรองหน้าโรงแรมรอยัลรัตนโกสินทร์ซึ่งแถวยาวตลอดถนนราชดำเนินไปจนถึงอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยส่วนจุดคัดกรอง หน้าหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (รด.) แถวยาวออกไปหลายกิโลเมตรท้ายอยู่บริเวณท่าเตียน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่และจิตอาสา นำร่ม อาหารทานง่ายและเครื่องดื่มมาแจกจ่าย และช่วยดูแลและบริการประชาชน
นายกิติวัฒน์ แสนกลม อายุ 83 ปี ข้าราชการครูบำนาญ อดีตครูใหญ่โรงเรียนวัดขี้ตุ้น ต.โคกสะอาด อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ เดินทางพร้อมภรรยา นางชูชาติ แสนกลม อายุ 64 ปี ออกเดินทางจากบ้านที่จ.บุรีรัมย์ ด้วยรถไฟตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 3 ตุลาคม ถึงกรุงเทพฯ วันนี้ ราว 05.00 น. ก่อนเดินทางมาต่อแถวเพื่อเข้ากราบสักการะพระบรมศพฯ และได้เข้ากราบเวลา 09.00 น. โดยนายกิติวัฒน์ กล่าวว่า รู้สึกตื้นตันใจที่ได้เดินทางมากราบพระบรมศพฯ เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งเดิมคิดว่าจะหมดหวังแล้วเพราะสิ้นสุดกำหนดการเข้ากราบและตนเองก็ปวดเข่าอยู่เป็นประจำ แต่เมื่อทราบข่าวว่าสำนักพระราชวังขยายเวลาให้มากราบพระบรมศพฯ เพิ่ม จึงตัดสินใจเดินทางมา 2 ตายาย เดินทางมาด้วยใจที่อยากจะกราบในหลวงรัชกาลที่ 9 อีกสักครั้ง เมื่อมาถึงก็มีกำลังใจและจากที่ปวดเข่าก็รู้สึกบรรเทาลง สามารถเดินเหินได้ไม่ต้องใช้รถเข็น แม้ว่าอายุจะมากแล้วและไม่แน่ใจว่าจะตายไหน ก็ตั้งใจไว้ว่าหากมีชีวิตอยู่จนถึงช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ จะเดินทางมาอีกครั้งให้ได้
“สมัยที่เป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดขี้ตุ้น เป็นโรงเรียนเล็กๆ มีนักเรียนเพียง 60-70 คน แม้จะสามารถสอบเพื่อย้ายไปอยู่โรงเรียนใหญ่ หรืออยู่ในพื้นที่อื่นๆ ได้ แต่ผมน้อมนำแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิต จึงไม่ได้ดิ้นรนแข่งขัน พอใจที่จะอยู่ในโรงเรียนเล็ก ๆ ช่วยพัฒนาบ้านเกิดของตนเองดีกว่า และได้ยึดพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ว่า ‘ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด’ ดังนั้น ในฐานะที่เป็นครูจึงได้พยายามถ่ายทอดความรู้และการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างในทางที่ดีตามรอยพระองค์ท่าน เพราะคนในปัจจุบันแม้จะมีการศึกษาสูงขึ้นแต่ขาดมโนธรรม ทำให้สังคมมีปัญหา แม้แต่พระสงฆ์ชั้นสูงยังมีกิเลส แต่พระองค์ท่านเหมือนพระอรหันต์ที่ละกิเลส พระองค์ท่านเสด็จฯ ไปเพื่อให้ ให้ทั้งอาชีพ ให้การศึกษา ให้ความเป็นอยู่ที่ดี ในทุกพื้นที่ของประเทศไม่ว่าจะทุรกันดารเพียงใด” นายกิติวัฒน์ กล่าว
นางรัตนาภรณ์ นิยมธรรมชาติ รอยร็อค อายุ 55 ปี ชาวไทยในกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอแลนด์ กล่าวว่า ปกติกลับมาเมืองไทยปีละ 1 ครั้ง ปีที่ผ่านมากลับมาช่วงเดือนพฤษภาคมแล้ว และได้ทราบข่าวในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคตในเดือนตุลาคม ปีนี้จึงตั้งใจเดินทางกลับไทยเพื่อมากราบพระบรมศพ และตั้งใจอยู่ยาวถึงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพด้วย ซึ่งเมื่อได้เข้าไปกราบพระบรมศพ รู้สึกขนลุกและน้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว แม้ไปอยู่ต่างประเทศไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็มีพระองค์ท่านอยู่ในหัวใจ ตนเองเติบโตมาจากการเห็นพระองค์ท่านทรงงานมาโดยตลอด ท่านทรงมีคำสอนให้เราอยู่อย่างพอเพียง ช่วยเหลือและสามัคคีกัน ซึ่งสำคัญมากสำหรับคนไทยที่อยู่ต่างประเทศ พวกเรารักพระองค์ท่านโดยไม่สามารถเอาอะไรมาเปรียบเทียบได้
“ที่ผ่านมาเคยได้รับเสด็จ ในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระราชินี ประมาณ 2-3 ครั้ง เพราะเมื่อก่อนบ้านอยู่ถนนเจริญกรุง พระองค์จะเสด็จฯ ไปยังโรงแรมโอเรียนเต็ลบ่อย เราก็จะได้เห็นพระพักตร์ และเห็นพระองค์อย่างใกล้ชิด ภาพในวันนั้นก็ติดประทับอยู่ในจิตใจ เมื่อต้องไปอยู่ต่างประเทศก็ยังนำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ไปติดไว้ที่บ้าน และบอกให้ลูกๆ ซึ่งเติบโตที่เมืองนอกได้รู้จักพระองค์ และสอนให้รู้ว่าท่านทรงทำอะไรบ้าง และให้กราบพระองค์ด้วยนอกจากนี้สามีก็ยังรู้เรื่องของในหลวงรัชกาล 9 ว่าเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของคนไทย” นางรัตนาภรณ์ กล่าว
นายฌัชชัย รัศมี อายุ 24 ปี คนไทยในฝรั่งเศสที่ได้เดินทางกลับมาบ้านใน จ.ชลบุรี และตั้งใจเดินทางมากราบพระบรมศพ โดยมาถึงสนามหลวงช่วง 05.00 น. วันนี้และได้ขึ้นกราบสักการะพระบรมศพราว 08.00 น. กล่าวว่า ได้มากราบสักการะพระบรมศพฯ เป็นครั้งแรก เพราะที่ผ่านมาต้องไปช่วยเหลือครอบครัวทำร้านอาหารไทยที่ประเทศฝรั่งเศส แต่เมื่อทราบข่าวว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชานุญาตให้สักการะบรมศพฯ ได้ถึงวันที่ 5 ตุลาคม จึงได้มาสักการะพระบรมศพเพื่อส่งเสด็จพระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ล้นเกล้าในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย ถึงแม้ต้องเจอสภาพอากาศที่หนาวเย็นและมดไรแมลงมารุมกัดหลังจากฝนตกก็ตาม
“มาถึงที่สนามหลวงตอนตี 3 เป็นช่วงหลังจากฝนตก อากาศชื้นถูกยุงกัดบ้าง แต่ผมคิดว่าความลำบากเพียงเท่านี้ ยังไม่ถึงเศษเสี้ยวหนึ่งที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงทำเพื่อคนไทย ทั้งโครงการในพระราชดำริฯ กว่า 4 พันโครงการล้วนมีประโยชน์ต่อปวงชนชาวไทยมหาศาล ทรงสร้างความสุขอันยั่งยืนอันแท้จริงบนผืนแผ่นดินไทย โดยเฉพาะโครงการเศรษฐกิจพอเพียงอันเป็นแนวทางที่ทำให้เรายึดมั่นและสานต่อจนถึงทุกวันนี้คือใช้เท่าที่มี และแบ่งปันสิ่งที่มีให้แก่คนอื่นด้วย” นายฌัชชัย กล่าว
ทั้งนี้ สำนักพระราชวังได้สรุปยอดประชาชนที่เดินทางมากราบพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ตั้งแต่เวลา 00.01น. จนถึงเวลา 24.00 น. ว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 88,602 คน รวม 335 วัน มี 12,532,492 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 5,712,411.25 บาท รวม 335 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 876,090,282.76 บาท ซึ่งเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง ได้อำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่ยังเข้าแถวรอกราบสักการะพระบรมศพฯ จำนวนมากสามารถทยอยเข้ากราบสักการะจนหมดชุดสุดท้ายของวันที่ 3 ตุลาคม ในเวลา 03.50 น. ของวันที่ 4 ตุลาคม